ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่103 ดูหน่อยว่าใครต้องจ่ายเงินมากกว่ากัน
ตอนที่103 ดูหน่อยว่าใครต้องจ่ายเงินมากกว่ากัน
แม้ว่าผู้จัดการโรงแรมจะทราบถึงตัวตนของจ้าวเฉียนเช่นกัน แต่การจะขับไล่หยางหมิงออกไปโดยไร้ซึ่งเหตุผลก็อาจทำให้ทุกคนสงสัยได้เช่นกัน ผู้บริหารบอร์ดกำชับกับเขาไว้ว่า ห้ามให้ตัวตนที่แท้จริงของคุณชายจ้าวถูกเปิดเผยออกมาเป็นอันขาด ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“คุณลูกค้า คุณมีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ถึงต้องการให้ลูกค้าท่านนี้ออกจากโรงแรมของเรา?”
ทุกคนทั่วล็อบบี้ระเบิดหัวเราะดังขึ้น พลางคิดไปว่าผู้จัดการเองก็ถามมีเหตุผล ทำไมจ้าวเฉียนถึงต้องไล่หยางหมิงไปล่ะ? นอกจากความขับข้องใจส่วนตัวแล้ว เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไล่ไปเลย
จ้าวเฉียนเซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนและวางบนเค้าน์เตอร์แผนกต้อนรับโดยไม่พูดไม่จาใดๆ
“หนึ่งล้าน ค่าไล่พวกนี้ออกไป!”
อย่างไรก็ตามที่แห่งนี้ก็เป็นโรงแรมของเขา นี่ไม่ต่างอะไรกับจ่ายเงินให้ครอบครัวตัวเอง และท้ายที่สุดนี้ไม่ว่าจะจ่ายไปเท่าไหร่ เงินในส่วนนี้ก็จะสนกลับมาหาเขาดังเดิม
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้น ทั่วทั้งล็อบบี้พลันก่อเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“จ้าวเฉียน แกบ้าไปแล้วรึไง! ใช้เงินล้านเพื่อแข่งกับฉันงั้นเหรอ?”
“จ้าวเฉียนเสียสติไปแล้ว! เขาหยิบเงินหลักล้านออกมากับเรื่องแค่นี้นี่นะ? เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน แล้วเขาไปเอาเงินล้านมาจากไหน?”
“ฉันได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ที่บริษัทกำลังขาดแคลนเงินทุน จ้าวเฉียนทุ่มเงินรางวัลที่ได้จากล็อตเตอรี่มาช่วยประธานฟาง พอตอนนี้บริษัทกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จึงได้เงินในส่วนนั้นคืนกลับมาพร้อมกำไรอีกจำนวนหนึ่ง นี่ยังไม่รวมเงินสิบล้านที่ตกลงกันไว้ด้วยนะ!”
“พระเจ้า! สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเป็นคุณชายจ้าวจริงๆ แล้วงานนี้! ทำไมเขาถึงโชคดีหลายต่อขนาดนี้กัน! ทำไมเรื่องดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ!”
บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างงุนงงกันเป็นแทบ แต่ยังไงพวกเขาก็ยังยอมรับได้ ทว่าในทางตรงข้าม จางหยาง, หวังเฉียง, เจวียงหยวน ทั้งสามไม่พอใจอย่างยิ่งที่จ้าวเฉียนใช้เงินล้านเพื่อให้ทางโรงแรมขับไล่หยางหมิงออกไป พวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่า คืนนี้หยางหมิงจะได้นอนที่ไหน แต่กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือ ทำยังไงก็ได้ขอให้จ้าวเฉียนหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บ
ส่วนในอีกด้าน เจียงเสี่ยวปิงรู้สึกเสียใจเกินพรรณนาได้แล้ว ถ้าเธอยังไม่เลิกกับจ้าวเฉียน เธอคงกลายมาเป็นเศรษฐีไปแล้วในตอนนี้ แต่ถึงอย่างไร เธอกลับเลือกเดินผิดทุกเส้นทาง ส่งผลให้เธอยืนอยู่ ณ จุดนี้
สีหน้าของหยางหมิงบิดเบี้ยวน่าเกียจยิ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฉียนจะใช้เงินตีหัวกันแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ ตัวเขาเป็นถึงทายาทเศรษฐีของเฟยอวี่ กรุ๊ป ทุกคนต่างทราบโดยทั่วกัน แล้วจ้าวเฉียนไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าประชันเรื่องเงินกับเขา? อย่างน้อยที่สุดหยางหมิงมีเงินเหลือติดกระเป๋าเกินหนึ่งล้านแน่นอน
มุ่งเน้นเรื่องประหยัดเงินไว้ก่อน หยางหมิงจึงเลือกที่จะกล่าวขู่จ้าวเฉียนไปว่า
“จ้าวเฉียน แกคิดว่าจะชี้นิ้วสั่งใครก็ได้ด้วยการเขียนเช็ด? นี่โง่หรือปัญญาอ่อนกันวะ? กูเป็นใครก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ เศษเงินแค่ล้านหยวน คิดหรือว่าจะไม่มีปัญญาจ่าย?”
จ้าวเฉียนไม่เอ่ยตอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่หันไปถามผู้จัดการแทนว่า มีอะไรจะพูดไหม
ผู้จัดการแสร้งทำเป็นลังเลอยู่สักครู่ ก่อนกล่าวกับหยางหมิงด้วยท่าทีช่วยไม่ได้
“นายน้อยหยาง คุณเองก็เป็นนักธุรกิจเหมือนกัน หวังว่าจะเข้าใจหัวอกดกันดี ผมต้องขอโทษจริงๆ แต่เกรงว่าคุณและเพื่อนๆ ไม่สามารถค้างคืนที่โรงแรมแห่งนี้ได้แล้ว แต่ไม่ต้องกังวลไป ทางเราจะจ่ายเงินคืนเป็นจำนวนสามเท่าของที่จองไป ทางเรามีนโยบายบริหารจัดการอย่างยุติธรรมพอ”
หยางหมิงเดือดขึ้นทันทีที่ได้ยินและตะคอกสวนว่า
“นี่มึงเป็นบ้าอะไร? กูหยางหมิง ทายาทเฟยอวี่ กรุ๋ปนะเว้ย! มึงเป็นแค่ผู้จัดการตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรกล้าไล่กูวะ? สมองเสื่อมไปแล้วรึไง!”
ผู้จัดการคลี่ยิ้มโดยไม่มีกลัวเกรงใดๆ และตอบไปว่า
“ใช่ครับผมก็แค่ผู้จัดการคนหนึ่ง ถ้าไม่พอใจอะไรก็สามารถร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ของเราได้ตลอดครับ แต่ตราบใดที่คุณจ่ายมากกว่าหนึ่งล้านหยวน ทางผมก็ยังพอที่จะสามารถหาห้องว่างได้นะครับ”
วันนี้ไม่เพียงบรรดาเพื่อนฝูงของหยางหมิงเท่านั้นที่มา แต่ยังรวมไปถึงสตีมเมอร์สาวคนดังอยู่ข้างกาย ดังนั้นเขาไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด! และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับจ้าวเฉียนและหวานเจียง เขายิ่งไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด ต่อให้จ่ายเงินอีกสักกี่ล้าน หยางหมิงก็ขอสู้ตาย!
“ได้! แค่ล้านเดียวกูไม่กลัว!”
หยางหมิงหยิบสมุดเช็คออกมาและเซ็นจำนวน1.1ล้าน วางกระแทกเคาน์เตอร์อย่างแรง
โดยไม่พูดพล่ำทำเพลง จ้าวเฉียนเซ็นเช็คอีกใบเป็นจำนวนสองล้านพร้อมฉีกวางทับทันที และยังคงยืนยันคำเดิม ผู้จัดการต้องไล่หยางหมิงออกจากที่นี่
“ว้าว! ราคาแบบนี้ไปเที่ยวอาบอบนวดได้กี่สิบรอบกันวะเนี่ย! คิดจะสู้กับหยางหมิงจริงๆ เหรอ? มีลางว่าจ้าวเฉียนจะหมดตัวแล้ว!”
“เห้อออ…มีเงินซะอย่างจะทำอะไรก็ได้ ฉันล่ะอยากเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างจริงๆ!”
“ทำอะไรไม่ได้ เงินก็เป็นเงินเขา เราไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้เลย”
บรรดาเพื่อนร่วมงานอยากรู้เหมือนกันว่าจ้าวเฉียนกำลังคิดอะไรอยู่ คิดจะเสียเงินทั้งหมดไปกับเรื่องแค่นี้จริงๆ เหรอ? และที่สำคัญที่สุดคือ คู่แข่งที่อยู่ตรงข้ามเป็นถึงทายาทเศรษฐี นายน้อยหยางแห่งเฟยอวี่ กรุ๊ปเชียว!
อย่างมากที่สุดจ้าวเฉียนมีเงินทั้งตัวแค่ไม่กี่ล้าน ถ้าสูญเงินทั้งหมดตอนนี้ เขาจะต้องกลับสู่สภาพเดิม มีแค่มือถือเก่าๆ เครื่องหนึ่ง และโดนเยาะเย้ยกลั่งแกล้งเหมือนแต่ก่อน
หยางหมิงโมโหอย่างมาก กรนด่าสาปแช่งไปว่า
“จ้าวเฉียน! มึงจะต้อนกูให้ถึงที่สุดเลยใช่ไหม!?”
จ้าวเฉียนกระชับกอดหวานเจียงไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น และถากถางกลับไปว่า
“อะไรนะ? นายน้อยหยางแห่งเฟยอวี่ กรุ๊ปไม่มีปัญญาจ่ายเงินเกินสองล้าน? ว้าา…เป็นถึงทายาทของประธานหยางเฉิง เสียชื่อหมดเลย งั้นขอเปลี่ยนคำเรียกนะครับ เป็นนายน้อยยาจกแล้วกัน”
“ปัญญาอ่อน! อย่างนายน้อยหยางหมิงของพวกเราเหรอ แค่สองล้านไม่มีปัญญาจ่าย?”
“นายนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ นะ ต่อให้ต้องจ่ายมากกว่าสองล้าน ขนหน้าแข้งของนายน้อยหยางของฉันยังไม่ร่วงเลย!”
บรรดาเพื่อนฝูงและสตีมเมอร์สาวที่อยู่ด้านหลังหยางหมิง ต่างเอ่ยปากเย้ยเยาะจ้าวเฉียนกันสนุกปาก ในเมื่อมีหยางหมิงคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ ทำไมพวกเขาต้องกลัวจ้าวเฉียนด้วยล่ะ?
“ฮ่าฮ่า… จ้าวเฉียนมึงได้ยินชัดไหม? แค่สองล้านมันไม่ได้อยู่ในสายตากูด้วยซ้ำ…”
หยางหมิงกล่าวเสียงแผ่วปลาย แม้ว่าน้ำเสียงของเขายังฟังดูยิ่งใหญ่ไม่กลัวเกรง ทว่าภายในใจแทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว พอพูดจบก็เซ็นเช็คอีกใบจำนวน2.1ล้าน
จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่เช็คในมือหยางหมิง พลางอดหัวเราะไม่ได้
“นายน้อยหยาง เพิ่มทีละแสนสองแสนแบบนี้ กลับบ้านไปใส่กระโปรงแม่เถอะนะครับ! ครั้งนี้ผมสู้สามล้าน หวังว่าจะไม่เพิ่มาเป็นสามล้านหนึ่งนะครับ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงไป จ้าวเฉียนก็เซ็นเช็คมูลค่าสามล้านวางกระแทกเค้าน์เตอร์อย่างเฉยเมย
ทุกคนทั่วทั้งล็อบบี้ต่างร้องอุทานในใจ จ้าวเฉียนต้องเสียสติไปแล้วแน่นอน ไม่ก็สมองตายฉับพลัน
ถึงจะมีเงินมากเหลือใช้ขนาดนี้ แต่อย่าน้อยเก็บไว้ในธนาคารกินดอกเล่นไม่ดีกว่าเหรอ?
หวานเจียงที่เห็บแบบนั้นก็อดแซะจ้าวเฉียนไม่ได้ว่า
“แหม แหมม…ซ่อนเงินไว้เยอะขนาดนี้ก็ไม่บอก แบ่งให้ฉันบ้างสิ?”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“ไม่ได้หรอก พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อย”
“โอ๊ะ! นี่นายหมายความว่า ถ้าพวกเราแต่งงานกันแล้ว เงินในกระเป๋านายต้องตกเป็นฉันนะ คิดดีแล้ว?”
จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะเป็นคำตอบกลับไป เขามีเงินมากมายนับไม่ถ้วน กลัวว่าต่อให้หวานเจียงใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมดด้วยซ้ำ
“แหนะ คิดอะไรของนายอยู่ห่ะ? ฉันแค่พูดเล่น เบื่อเมื่อไหร่ก็แค่ไล่นายนั่นแหละ ไม่อยากแต่งงานด้วยหรอก”
หวานเจียงยกมือป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก หยางหมิงตะลึงเล็กน้อย แอบสะใจลึกๆ ว่าจ้าวเฉียนก็ไม่ใช่คนที่เธอคบด้วยจริงจังเช่นกัน
หยางหมิงอดเหน็บแหนมจ้าวเฉียนไม่ได้ว่า
“ขนาดคบกับนายอยู่แท้ๆ ยังพูดขนาดนี้ พอตอนที่เธอเบื่อนายแล้ว คงไม่ถูกถีบหัวส่งเหมือนหมาเลยรึไง!”
แต่จ้าวเฉียนยังคงปิดปากเงียบไม่พูดอะไร และเป็นหวานเจียงที่เป็นฝ่ายแดกดันกลับไปแทนว่า
“มันก็ใช่ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าผู้ชายบางคนที่ฉันไม่แม้แต่จะให้โอกาสคบเลยด้วยซ้ำ ฉันว่าแบบนั้นหมากว่าเยอะ!”
หยางหมิงถึงกับหน้าสั่นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
อย่างไรเสีย ตอนนี้จ้าวเฉียนจ่ายไปแล้วสามล้าน ซึ่งนี่ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ เลย แต่สำหรับหยางหมิงเงินแค่สามล้านไม่ถือว่ามากเกินไป ถ้าเขาจ่ายเงินจำนวนนี้ไปกับการช็อปปิ้งซื้อความสุขให้ตัวเองก็ว่าไปอย่าง แต่ในกรณีเช่นนี้ เขาต้องจ่ายค่าห้องพักกว่าสามล้าน จะให้มองยังไงก็ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
แต่บรรดาพวกเพื่อนจิ้งจอกตัวดีที่อยู่ด้านหลังหยางหมิง กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเขายังคงสบถดูถูกโจมตีจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน
“นายน้อยหยาง สั่งสอนมันเลยครับ! เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับนายน้อยเลยสักนิด!”
“ถูกต้องค่ะ! แค่แพลตฟอร์มเฟยอวี่ก็มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลายพันล้านแล้ว คิดว่าเงินแค่สามล้านจะทำให้นายน้อยหยางใจเสียได้ยังไง?”
หยางหมิงรู้สึกราวกับว่า ตนเองตกสู่สภาวะคลืนไม่เข้าคลายไม่ออกโดยสมบูรณ์ เขารู้สึก โคตรขอบคุณบรรดาเพื่อนฝูงพวกนี้เหลือเกิน ไม่ว่าจะลองวิเคราะห์ยังไงสู้ต่อไปก็มีแต่เสียกับเสีย ถึงมันจะเป็นจำนวนเงินแค่สามล้าน แต่แลกมากับเพียงค่าที่พักหนึ่งคืน คิดยังไงก็ปวดเศียร
แต่จะให้เขายอมแพ้ไปทั้งแบบนั้นน่ะเหรอ? ไม่มีทาง! ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ จะให้ชื่อเสียงนายน้อยแห่งเฟยอวี่ กรุ๊ปผู้สูงศักดิ์ได้ยังไง!?