ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่176 วางแผนเลิกจ้าง
ตอนที่176 วางแผนเลิกจ้าง
เป็นที่ชัดเจนว่าฟู่เทียนต้องการเพียงแค่จับจ้าวเฉียนมาขอขมาต่อหน้าเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงออกมานัดพบใครบางคนกลางดึกเพื่อหาทางจัดการกับจ้าวเฉียน
ทุกแก๊งในโลกใต้ดินแห่งเมืองตงไห่ไม่มีใครกล้าต่อกรกับหยางหู่โดยง่าย แต่ถ้าหากเป็นแก๊งอิทธิพลภายนอกที่ไม่รู้เรื่องภายในเมืองแห่งนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวอยู่มาก หลายคนเต็มใจรับงานตราบเท่าที่มีเงินมากพอ
ฟู่เทียนใช้เส้นสายที่มีอยู่ในทันทีและขอให้แก๊งจากเมืองจินหลิงออกโรง เพื่อให้มากำจัดจ้าวเฉียนทิ้งไปซะ
ค่ำคืนของเทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านพ้นไป ทุกคนต่างกลับเข้ามาทำงานดังเดิม
ไม่นานหลังจากที่ฟางนี่มาถึงบริษัท เธอก็ได้รับแจ้งจากซิงหยวนว่า เรื่องงานอัพเดตตัวเกม ‘League of Glory’ หลังจากนี้เป็นต้นไป จะเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาจากบริษัทซิงหยวนแทนที่นักพัฒนาของบริษัทฟางนี่
ฟางนี่ตื่นตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น เกมที่คว้ารางวัลหลากสาขามากมายอย่าง League of Glory ตอนนี้ถึงวาระที่ซิงหยวนจะเอากลับคืนไปเป็นของตนโดยสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นบริษัทฟางนี่จะไม่สามารถหากินกับเกมนี้ได้อีกต่อไป
ก่อนหน้ามีบางโปรเจคในตัวเกมติดสัญญากับบริษัทฟางนี่อยู่ และตอนนี้ก็ถึงเวลาสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว นั้นหมายความว่าโปรเจคความร่วมมือระหว่างซิงหยวนกับฟางนี่ได้ถึงวาระสิ้นสุดลง
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทั้งโปรเจคของหัวโหย้วกับเหล่ยอู่ก็ยังถูกยกเลิกกลางคัน สัญญาความวร่วมมือของซิงหยวนก็สิ้นสุดลงแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่บริษัทเกมเล็กๆ อย่างฟางนี่จะอยู่ต่อไปได้แบบในอดีต ค่าจ้างของพนักงานเพียงคนเดียวในบริษัทกลายมาเป็นภาระหนักของฟางนี่ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันบีบบังคับให้เธอต้องวางแผนเลิกจ้าง
ฟางนี่เดินไปที่ออฟฟิศและป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดขึ้นว่า
“ทุกคนขอให้วางมือจากงานลงก่อน แล้วไปรวมตัวกับที่ห้องประชุม ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องแจ้งให้ทุกคนทราบ”
สิบนาทีต่อมา ทุกคนในบริษัทต่างเข้านั่งประจำที่ในห้องประชุม
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของฟางนี่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทันที แม้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก่อนประกาศว่า
“ฉันต้องขอโทษทุกคนก่อนเลยที่ไร้ความสามารถและล้มเหลวในการบริหารบริษัท ตอนนี้บริษัทของเราไม่เหลือโปรเจคเกมอะไรอีกแล้ว คงไม่สามารถรองรับทุกคนได้ไหวอีกต่อไป ดังนั้น…ฉันเลยต้องทำการเลิกจ้างเพื่อลดต้นทุน”
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา ทุกคนต่างช็อกกันอย่างยิ่ง
“ห๊ะ!!?”
“นี่มันอะไรกันครับ?! มัน…มันไม่กะทันหันเกินไปหน่อยเหรอ? ผมเพิ่งพูดกับพ่อแม่ผมเองว่า อีกสองสามปีข้างหน้าผมจะเก็บเงินก้อนได้ แล้วจะซื้อคอนโดดสักห้องให้พวกท่านอยู่กินด้วยกัน!”
“นี่…นี่พูดจริงเหรอครับ?!”
โดยเฉพาะกับจางหยางด้วยแล้ว เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย เขายังมีแผนการอีกมากมายอยู่ในหัว แต่ถ้ามีพนักงานไม่เพียงพอต่อความต้องการ แล้วเขาจะทำการใหญ่สำเร็จได้ยังไง?
“เสี่ยวนี่ ทำไมคุณถึงไม่ปรึกษากับผมก่อน? จะเลิกจ้างพนักงานทั้งๆ ที่สถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนแบบนี้ไม่ได้! บางทีเราอาจจะผ่านจุดวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ถ้าขอความร่วมมือกับบริษัทพวกนั้นไม่ได้ เราก็ยังมีบริษัทอื่นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ? หรือจะให้เราสร้างโปรเจคเกมขึ้นมาเองก็ยังได้! นี่เป็นเพียงปัญหาที่เข้ามาเพื่อทดสอบพวกเรานะ ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้?”
ฟางนี่อธิบายตอบไปว่า
“ฉันแค่ชี้แจงให้ทุกคนทราบก่อน ยังไงซะฉันเองก็ต้องคุยกับจ้าวเฉียนและหวานฉันซูอีกทีนึงก่อนด้วย ว่าเห็นด้วยกับแผนการนี้หรือไม่? ตัดออกสักหนึ่งในสาม น่าจะช่วยให้บริษัทนี้อยู่รอดต่อไปได้”
“ประธานฟาง คุณก็เห็นว่าพวกดราพยายามทำงานหนักแค่ไหนเพื่อบริษัทแห่งนี้ ลองคิดให้ดีก่อนดีกว่าครับ!”
“ถูกต้อง ในฐานะเจ้านายควรต้องมีมโนธรรมกับลูกจ้างมากกว่านี้นะครับ ถ้าเลิกจ้างฟ้าผ่าแบบนี้ พวกผมจะอยู่ยังไง?”
“เดี๋ยวก่อนนะ มันก็ยังพอมีหนทางอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเราสามารถเชิญจ้าวเฉียนกลับมาได้ เขาน่าจะช่วยต่อสัญญากับซิงหยวนได้นะ!”
“จริงด้วย! ผมเองก็เห็นด้วยเช่นกันครับ! ต้องเชิญจ้าวเฉียนกลับมาเท่านั้น!”
“ดิฉันเองก็เก็นด้วยค่ะ นี่เป็นหนทางเดียวแล้ว…”
แต่ละคนล้วนเห็นแก่ตัวและคำนึงถึงประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น พวกเขาไม่แม้แต่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยนแม้สักนิด ทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุด พวกขาเป็นฝ่ายรวมหัวขับไล่จ้าวเฉียนออกไปเองแท้ๆ แต่พอเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องการเชิญเขากลับมาช่วยอีกครั้ง
ซึ่งแน่นอนว่าจางหยางไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน กว่าที่เขาจะชับไล่จ้าวเฉียนออกจากบริษัทได้ เขาต้องวางแผนแทบตาย ดังนั้นไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่มีทางอนุญาตให้จ้าวเฉียนกลับมาแน่นอน
“เงียบหน่อยทุกคน! เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกจ้าวเฉียนกลับมา! อย่างที่ฉันพูดไป ปัญหาแบบนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของธุรกิจ! หลักการง่ายๆ แบบนี้ ใช้เวลาเดี๋ยวก็แก้ปัญหาได้เองนั่นแหละ! ฉันจะหารือกับฟางนี่หลังจากนี้ ไม่ต้องกังวล ฉันขอรับประกันด้วยชีวิตเลยว่า จะไม่มีใครถูกเลิกจ้างแน่นอน!”
แต่อย่างไร คำพูดของจางหยางราวกับเสียงผายลมก็ไม่ปาน ไม่มีใครสนใจฟังเขาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ละคนยังคงจับกลุ่มคุยกับฟางนี่เรื่องจ้าวเฉียน
ฟางนี่รู้ดีว่า เธอต้องกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับสามีของเธออีกที ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมสนับสนุนการตัดสินใจนี้ของเธอแน่นอน
ไม่นานฟางนี่ก็โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกจากห้องประชุมและกลับไปทำงานต่อ
หลังจากคนสุดท้ายเดินออกจากห้องประชุมไป จางหยางก็รีบปิดประตูกังปังและหันมากล่าวโทษฟางนี่โดยทันทีว่า
“เสี่ยวนี่ นี่ยังเห็นผมเป็นสามีของคุณอยู่ไหม? ไม่คิดจะบอกหรือปรึกษาอะไรกันล่วงหน้าหน่อยเหรอ?”
“ฉันขอโทษ ฉันคิดไม่รอบคอบเอง แต่ฉันเองก็อยากแจ้งกับทุกคนให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนก็เท่านั้นเอง”
ฟางนี่กล่าวเสียงอ่อน
“หยุดพูดได้แล้ว! ฉันจะโทรหาหวานฉันซูเพื่อขอให้เขาคัดกค้านแผนการนี้ซะ! ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน แต่มันก็ไม่ถือว่าเป็นพนักงานของที่นี่อีกแล้ว! เสี่ยวนี่ คุณให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองสักครั้งเถอะนะ ผมขอร้อง!”
จางหยางกล่าวขึ้นพร้อมแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง
ฟางนี่รู้สึกกดดันอย่างที่สุด ด้านหนึ่งก็เป็นเงินเป็นทอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สามีของเธอเอง และหากสักวันสามีทิ้งเธอไป วันนั้นนี่แหละ มั่นใจได้เลยว่าฟางนี่จะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
คล้อยหลังรวนเรใจอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดฟางนี่ก็เลือกสามีของเธอ ถ้าไม่มีเงินก็ยังหางานใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสามีแล้ว เธอคงต้องเป็นโสดไปตลอด
“ตกลง ฉันจะให้เวลาคุณครึ่งปี ตราบเท่าที่คุณสามารถนำพาบริษัทให้พ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้ ฉันจะมอบสิทธิ์การบริหารให้คุณแน่นอน แล้วฉันจะคอยอยู่เบื้องหลังเท่านั้น โอเคไหม?”
จางหยางมีความสุขอย่างมาก เขาวิ่งเข้าไปสวมกอดฟางนี่แน่น ประสบปากจูบกับฟางนี่ โต้ตอบกันอย่างดูดดื่มสองสามครา ก่อนที่เธอจะถูกจางหยางผลักขึ้นโต๊ะประชุมอย่างเดือดกระหาย
“อย่า…อย่าเพิ่ง… นี่มันห้องประชุมนะ ถ้าใครมาเห็นเข้าล่ะ?”
“งั้นก็ไปต่อกันที่ห้องทำงานคุณก็แล้วกันเนอะ?”
จางหยางรีบพาฟางนี่ออกไปทันที
ถึงฟางนี่ตอบว่าไม่ แต่ร่างกายของเธอกลับซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกเกินไป และยอมให้เขาพาเธอเขาห้องทำงานไปอย่างง่ายดาย
ทันทีที่เข้ามาถึงห้องทำงาน จางหยางแทบรอไม่ไหวแล้ว และผลักร่างฟางนี่ขึ้นโต๊ะพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงรักทันที
“อย่า…อย่าเพิ่งสิ…”
ฟางนี่กรนเสียงกระเส่าด้วยความเขินอาย
จางหยางตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“โอ้ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่เชื่อฟังคุณเลยนะ พวกเราเองก็แต่งงานกันมาสักพักแล้ว ถึงเวลามีลูกแล้วนะ”
ฟางนี่ส่ายหัวทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่…ไม่…ไม่… ตอนนี้บริษัทเรายังไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ฉันยังไม่อยากมีตอนนี้…”
จางหยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่นถอยออกไป และหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งกลับเป็นตามเดิม
“ฟางนี่ เชื่อผมเถอะ บริษัทจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอนภายใต้ผู้นำอย่างผม!”
จางหยางสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า เขาจะต้อง ‘สร้างชื่อเสียง’ ให้ฟางนี่เห็นให้ได้
ในอีกด้านหนึ่ง พนักงานคนอื่นที่อยู่ในออฟฟิศต่างจับกลุ่มกันสนทนา พวกเขาไม่มีอารมณ์ทำงานแม้แต่น้อย
“นายคิดว่าประธานฟางจะเลิกจ้างพวกเราจริงไหม? ฉันยังมีรถที่ต้องผ่อนจ่ายทุกเดือน เหลืออีกตั้งหลายสิบงวดแหนะ!”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้จัดการจางจะพูดกับประธานฟางยังไง ถึงจะต่อรองได้สำเร็จแล้วไม่ถูกเลิกจ้างวันนี้ แต่ถ้าไม่มีโปรเจคเข้ามา เราก็ต้องถูกเลิกจ้างในสักวันอยู่ดี”
“เห้ออ…ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพวกเรานั่นแหละ ที่รวมตัวกันขับไล่จ้าวเฉียนออกไป ทันทีที่เขาจากไปบริษัทเราเจอปัญหาหนักทุกทีเลย ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่ ฉันเชื่อเลยว่า บริษัทคงไม่มาถึงจุดนี้แน่นอน”
“มันก็เป็นอย่างที่นายว่าไปจริงๆ นั่นแหละ จ้าวเฉียนเป็นดาวนำโชคประจำบริษัทของเราอย่างแท้จริงเลย แต่กลับเป็นพวกเราเองที่ขับไล่เขาออกไป ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกนะ…”
บริเวณออฟฟิศไร้ซึ่งชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
ทุกคนรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างมากที่ตอนนั้นขับไล่จ้าวเฉียนออกไป
“ทำไมพวกเราไม่ร่วมมือกันวิงวอนขอร้องให้จ้าวเฉียนกลับมาช่วยล่ะ?”
“ใช่แล้ว! ฉันว่าความคิดนี่อาจจะได้ผล! ครั้งสุดท้ายที่เราพร้อมใจออกไปขอร้อง เขายังกลับมาเลย! ครั้งนี้เองก็ลองกันอีกครั้งเถอะ!”
“เอาเลย! จ้าวเฉียนเป็นคนใจดี ทั้งยังอ่อนโยนอีกด้วย ถ้าเราแสดงความจริงใจให้เขาเห็นได้ ฉันว่าเขาจะต้องกลับมาแน่นอน!”
“ไปกันเถอะ! ไปหาประธานฟางกัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มพนักงานออฟฟิศก็ตรงเข้าห้องทำงานของฟางนี่โดยไม่รีรอ