ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่188 ไม่ดีเท่าเทวดา
ตอนที่188 ไม่ดีเท่าเทวดา
ในสายตาของจ้าวเฉียน หยางหมิงก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก ที่เขาสามารถบดบี้เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม หลินจือดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นักที่เห็นหน้าจ้าวเฉียนยืนเสร่ออยู่แบบนี้ เขาจึงพาทายาทเศรษฐีอีกคนที่ชื่อซีฟู่เดินไปพร้อมกัน
พวกหลินจือเดินไปหาเรื่องจ้าวเฉียนทันที
“ไสหัวไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก!”
ทว่าอย่างไร ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนยังคงจับจ้องไปที่รถแข่งของอู่เลอ ไม่แม้แต่เหลียวมองหลินจือเลยสักนิด
หลินจือโกรธอย่างมากที่เห็นแบบนั้น เขาแบะบรรดาเพื่อนฝูงเหล่านี้เปรียบได้ดั่ง‘ธนบัตรเคลื่อนที่’ไม่ว่ากลุ่มนี้จะเดินทางไปที่ไหน พวกเขาสามารถดูถูกเหยียดหยามคนอื่นได้มากตามต้องการ
หลินจือกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยันต่อว่า
“ไอ้โง่ แกแหกตาดูนะ สองอันดับแรกเป็นคนของฉัน ส่วนไก่น้อยที่อยู่ที่สามจะสามารถแซงพวกฉันได้ยังไง? อ่อนหัด!”
“ดูนั้น! พี่เลอแซงขึ้นนำเป็นที่สองแล้ว!”
หลืนจือยังพูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนทั่วสนามต่างโหร้องขึ้นมาทันควัน และแน่นอนว่าอันดับสองในปัจจุบันกลายมาเป็นอู่เลอแล้ว
เวลานี้ รถแข่งทั้งสามคันกำลังเข้าโค้งที่ห้าแล้ว หมายเลข10ยังคงเป็นจ่าฝูง ตามมาด้วยรถของอู่เลอ และหมายเลข35ที่พยายามขึ้นแซงอย่างสิ้นหวัง เขาพยายามเหยียบคันเร่งตีตื้นเพื่อสกัดอู่เลอทุกวิถีทาง
อู่เลอเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน กระทืบคันเร่งมิดหวังสะบัดหมายเลข35ออกให้พ้น และไล่ตามหมายเลข10 หวังเข้าแซงทางโค้งสุดท้ายตรงหน้า
หลินจือรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจโดยกล่าวว่า
“แซงขึ้นเป็นที่สองแล้วไง? หลังพ้นโค้งที่ห้าก็จบแล้ว เขาไม่มีโอกาสชนะอีกแล้ว!”
แน่นอนว่าอู่เลอพยายามตีตื้นขึ้นแซงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถทำสำเร็จเสียที
“ฮ่าฮ่า…สองกิโลสุดท้าย! หลับตาขับยังชนะได้!”
หลินจือหัวเราะเยาะอย่างชัย
บรรดาลูกเศรษฐีคนอื่นๆเองต่างก็ติดตามหลินจือเข้ามา และกล่าวเยาะเย้ยจ้าวเฉียนว่า
“ได้ยินมาว่า แกต้องประหยัดชนิดอดมื้อกินมื้อเพื่อสนับสนุนทีมนี้ ตอนนี้คงไม่เหลือเงินแล้ว รู้สึกเสียดายไหม?”
“มันต้องเสียดายอยู่แล้ว ไปหยิบผ้าขี้ริ้วมา สู้เอาเงินไปซื้อข้าวกินให้อื่มท้องยังดีกว่าเยอะ! สงสัยต้องเอารถแข่งไปขายแลกเงินกลับมา!”
“ฮ่าฮ่า….ฉันเดาได้เลยว่า จบการแข่งนี้มันคงต้องไปนั่งขอทานแน่ จนแล้วยังไม่เจียมตัว!”
หยางหมิงมีความสุขอย่างยิ่งที่เขาสามารถยุให้บรรดาเพื่อนๆไปรุมด่าจ้าวเฉียนได้ ในอนาคตเขานี่แหละจะใช้ประโยชน์จากบรรดาเพื่อนฝูงกลุ่มนี้จัดการจ้าวเฉียน
หลินจือปรบมือส่งเสียงตะโกนดังลั่นเชียร์หมายเลข10
อย่างไรก็ตามแต่ ขึ้นชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดสามารถควบคุมให้เป็นดั่งในนึก ไม่ถึง500เมตรก่อนเข้าเส้นชัย รถหมายเลข10ดันสูญเสียการควบคุมและหลุดถนนไปโดยกะทันหัน
“เปรี๊ยง!”
มีรถชนกับไหล่ทางดังสนั่น รถหมายเลข10ปลิวกระเด็นไร้การควบคุม รถทั้งคันกระจายแยกชิ้นส่วนกระเด็นกระดอน
อู่เลอคว้าโอกาสนี้รีบเร่งเครื่องเข้าเส้ยชัยก่อนทันที
หลินจือและคนอื่นๆได้แต่ยืนตกตะลึง ถึงขั้นเสียศูนย์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
นักขับที่เก่งที่สุดของทีมน่าจะเสียชีวิตแล้ว ในเวลาแบบนี้ไม่ควรหัวเราะเลยสักนิด แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับจ้าวเฉียน
“ฮ่าฮ่าๆๆ…คนเก่งแต่ฟ้าไม่เป็นใจก็ได้แค่นี้แหละ คงเป็นพวกคนแถวนี้ขี้อวดเกินไปหน่อย สวรรค์คงลงโทษละมั้ง”
หลินจือเดือดจัดหันไปหาเรื่องจ้าวเฉียนทันที
“นี่แก!!”
“อยากมีเรื่องนักอ่อ!?”
ทันใดนั้นพวกลูกมือทีมของจ้าวเฉียนก็รีบออกหันลุกขึ้นยืนเช่นกัน
หลินจือและบรรดาเพื่อนฝูงเหล่านี้ล้วนเป็นลูกเศรษฐีทุกคน มีหรือที่ต้องยอมเสียหน้าแบบนี้?
“พวกมึงก็แค่กลุ่มคนขอทาน ยังจะกล้าฮือกับพวกกูอีกเหรอ! อยากตายนักใช่ไหม!?”
“ถุย! รวยกว่าแล้วไงวะ! กูเอาเลือดบนหัวพวกมึงออกได้แล้วกัน!!”
“พวกมึงไสหัวไปเลยนะ ไม่งั้นกูบอกที่บ้านให้เล่นงานพวกมึงแน่!”
……..
หยางหมิงรู้สึกได้ในทันที ตอนนี้โอกาสของตนมาถึงแล้ว ดังนั้นเขาจึงปั้นหน้าหงุดหงิดด่าจ้าวเฉียนทันทีว่า
“จ้าวเฉียน แกยังกล้าทำตัวหยิ่งต่อหน้าพวกฉันอีกเหรอ แค่ชนะครั้งเดียวทำเป็นถมถุยกันแล้วรำไง? วันนี้ฉันมาพร้อมเพื่อนมากมาย ขอดูหน่อยว่าแกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้!”
จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างหน่ายใจ เอ่ยสวนกลับไปว่า
“โอ้เอ้ๆ ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดีนะนายน้อยหยาง เวลาคนเรามันแพ้ก็มักจะหาเรื่องชวนตีไปทั่ว ผมจะปล่อยตัวเองให้ไปกัดกับฝูงหมาจรหรอกครับ เวลานี้ผมต้องไปฉลองกับชัยชนะที่ได้มา เชิญเห่าอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะนะครับ ฮ่าฮ่า…พวกเรา! ไปฉลองกัน!”
หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินกอดคอพวกลูกมือเดินออกไปหาอู่เลอทันที
หลินจือและคนอื่นๆหงุดหงิดอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของนักขับหมายเลข10สำคัญกว่า พวกเขาทำได้เพียงเรียกหน่วยพยาบาลเข้าดูเท่านั้น
ในไม่ช้า จ้าวเฉียนและคนอื่นๆก็พบกับอู่เลอ
“บอส! ผมชนะแล้ว! ผมลนะแล้ว! ฮ่าฮ่า…”
อู่เลอระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข
คนอื่นๆเองต่างก็แสดงความยินดีรกับอู่เลอเช่นดัน นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะพาพวกเขากลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ทีมพยาบาลและแพทย์ก็หามเปลนักแข่งหมายเลข10ออกไป
ทางด้านหลินจือและคนอื่นๆแห่กันวิ่งเข้ามาหาเรื่องจ้าวเฉียนกับคนอื่นๆต่อ
“อย่าเพิ่งดีใจไปพวกมึง! ถ้าโชคดีพอก็ก็คว้าแชมป์ระดับเอเชียในเดือนหน้าให้ได้แล้วกัน แต่กูไม่ปล่อยพวกมึงไปง่ายๆแน่!”
หลินจือกล่าวข่มขู่น้ำเสียงเดือดดุ
จ้าวเฉียนไม่แม้แต่สบตาเขาเลยด้วยซ้ำ และกล่าวเตือนไปว่า
“กลับไปดูแลนักแข่งตัวเองก่อนดีกว่าครับ นอกจากนี้แล้วผมจอเตือนอะไรพวกคุณสักอย่าง หยางหมิงเป็นศัตรูของผม ทางที่ดีอย่าไปพัวพันกับหมอนั่นให้มาก ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ”
“ฮ่าฮ่าๆๆ…”
ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น
หลินจือชี้ด่ากลับไปทันที
“แกนี่มันโง่! โง่จริงๆ!! ในสมองของแกมีแต่อึหมารึไงวะ ถึงกล้าพูดแบบนี้กับพวกกู! มึงจำไว้ซะนะ แค่เศษเงินของพวกเขาคนใดคนหนึ่ง มันก็มากพอที่จะทับแกจนขาดอากาศหายใจตายได้แล้ว!”
“พี่หลิน อย่าไปคุยกับไอ้คนบ้านนอกแบบนี้เลย วันๆยังหาเลี้ยงชีพตัวเองไม่ไหวเลยมั้ง อย่าเอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วยเลย ขยะแขยง!”
“หาเวลาไปเรื่องมารยาทซะวใหม่นะไอ้บ้านนอก เวลาพูดกับคนชนชั้นสูงกว่าพวกเรา จะได้รู้ว่าควรปฏิบัตตัวยังไง!”
“พ่อหนุ่มหล่อ ฉันขอเตือนนายสักนิดนะ ถ้านายกล้าเป็นศัตรูกับนายน้อยหยางก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูของเราเช่นกัน ซึ่งนั้นมันไม่เป็นผลดีต่อตัวนายเลย!”
หยางหมิงแอบแสยะยิ้มอยู่ภายในใจ ในที่สุดแผนการของเขาก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี
“ขอบคุณพวกนายมาก ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ”
หยางหมิงแสร้งกล่าวปั้นหน้าซึ้งใจ
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกัน ก็ควรปกป้องกันไม่ใช่เหรอ? ฉันหลินจือพูดแล้วไม่คืนคำ มันบังอาจล้ำเส้นพวกเรามาก่อน ฉันไม่มีทางยกโทษให้มันแน่นอน
หลินจือชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนอีกระลอก พร้อมทิ้งทวนด้วยสายตาสุดเหยียดหยาม
หลังด่าจบหลินซือก็พากลุ่มเพื่อนของตัวออกไป หลังจากนั้นที่เดินออกไปได้ไม่นาน หวานเจียงก็พาเฟิงเต๋อเดินไปหาจ้าวเฉียน ซึ่งพวกเขาทั้งสองกลุ่มเดินสวนทางกันพอดี
หยางหมิงที่มีพวกพ้องมากมายขนาดนี้อยู่เคียงข้าง ก็ยืดอกกล่าวเตือนหวานเจียงอย่างหาญกล้าว่า
“เสี่ยวเจียง ฉันแนะนำให้เธออยู่ห่างๆจากหมอนั่นดีกว่านะ พวกเพื่อนๆของฉันต่างลงความเห็นกันหมดแล้วว่ามันเป็นศัตรู ถ้ามันคิดต่อต้านพวกเราในอนาคต พวกเราจะกำจัดมันทิ้งซะ ดังนั้นเธอเพียงตัวคนเดียวอย่าฝืน…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเอง หวานเจียงก็เดินผ่านเขาไปราวกับอากาศธาตุ ไม่แม้แต่เหลียวมองเลยสักนิด
เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของหวานเจียง หลินจือก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า
“นี่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ? นายรู้จักเหรอ?”
หยางหมิงเข้าใจได้ในทันที หลินจือเองก็ดูท่าจะสนใจในตัวหลินจือเช่นกัน และเพื่อเอาชนะจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาจึงจำต้องยอมเสียสละหวานเจียง เพื่อเติมเชื้อไฟความแค้นของหลืนจือ
“เธอคนนั้นชื่อหวานเจียง เป็นคุณหนูคนโตของฮวาหยินกรุ๊ป เดิมทีพวกเรามีกำหนดต้องแต่งงานกัน แต่ทุกอย่างกลับพังพินาศลงด้วยฝีมือของไอ้สารเลวจ้าวเฉียน ฉันรักเธอมากนะ แต่เธอกลับไม่สนใจฉันแม้สักนิด แถมยังเห็นไอ้จ้าวเฉียนดีกว่าฉันอีก น่าเสียดายที่ผู้หญิงดีๆแบบนี้ต้องอยู่ในมือไอ้ขอทานที่ไหนไม่รู้”
“อืมนายพูดถูก คุณหนูอย่างเธอเหมาะสมกับพี่หลินมากเลย!”
“ใช่แล้ว! ไม่มีใครเหมาสมกับพี่หลินเท่าเธออีกแล้ว แต่ไอ้บ้านนอกนั้นมันมีดียังไง เธอถึงเหลียวไปมองได้?”
“นอกจากพี่หลินก็ไม่มีใครสมควรได้เธอไปครอบครองแล้ว!”
คำกล่าวของบรรดาเพื่อนฝูงราวกับว่า หลินจือคนนี้เป็นชายที่ดีที่สุดในโลกอย่างใดอย่างนั้น และหยางหมิงก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อยว่าจะเอายังไงต่อไปดี
แต่แล้วหยางหมิงก็จำใจเลือก ปัญหาในปัจจุบันก่อนอย่างจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริมไปว่า
“พี่หลิน ถ้าพี่สามารถครองใจเธอได้ ฉันก็ยินดีด้วย แต่เธอค่อนข้างอารมณ์ร้าย พี่หลินอาจจะคุมเธอไม่อยู่นะ”
หลืนจือทุบอกตัวเองทีหนึ่งและกล่าวตอบอย่างมีความสุขไปว่า
“ไม่ต้องกังวลไป! ตราบใดที่หลินจือคนนี้ได้พบหญิงสาวที่เหมาะสม ต่อให้ยากลำบากเพียงใด ฉันก็จะพิชิตใจเธอให้ได้! อีกอย่างนะ ยิ่งได้มายากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น!”
“ฮ่าฮ่าๆ… ระดับพี่หลินซะอย่าง!”
หยางหมิงรู้สึกขมขื่นใจอย่างมากที่ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นแย่งคนรักไป แต่เพื่อจัดการกับจ้าวเฉียนแล้ว เขาก็รู้สึกว่านี่มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาทราบดีว่านิสัยของหวานเจียงเป็นยังไง และหลินจือไม่มีวันจีบเธอติดแน่นอน สำหรับเขาแล้วจึงไม่นับว่ามีอะไรเสียหาย แถมยังได้จัดการจ้าวเฉียน ซึ่งนี่มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!