ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่20 ฟาดด้วยลำแข้ง
ตอนที่20 ฟาดด้วยลำแข้ง
NovelHall
ตอนที่20 ฟาดด้วยลำแข้ง
จ้าวเฉียนมายังห้องทำงานส่วนตัวของหยางจินตง และทักทายพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อหยางจินตงเห็นชุดเสื้อผ้าของจ้าวเฉียน เขาก็ลงความเห็นตัดสินใจไปทันทีว่า อีกฝ่ายไม่ได้มาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือ แต่น่าจะมีขายของมากกว่า
“สวัสดีครับ ผมหยางจินตง เป็นCEOบริษัทเฟยอวี้ ไม่ทราบว่าคุณมาจากบริษัทไหน แล้วจะร่วมมือกับเราในโครงการอะไร?”
จ้าวเฉียนยิ้มให้เขาเล็กน้อยและตอบไปว่า
“มาในนามส่วนตัว ผมต้องการร่วมหุ้นกับคุณ ต้องการจะซื้อหุ้นในบริษัทเฟยอวี้”
หยางจินตงหัวเราะขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และเอ่ยถามจ้าวเฉียนทันทีว่า รู้หรือไม่มูลค่า ณ ปัจจุบันของบริษัทนี้เป็นจำนวนเท่าไหร่
จ้าวเฉียนหัวเราะตอบเป็นมารยาท กล่าวขึ้นว่า
“แน่นอนครับ มูลค่าปัจจุบันอยู่ที่800ล้านหยวน”
หยางจินตงส่ายหัว เอ่ยตอบไปว่า
“นั้นเป็นเพียงการประเมินมูลค่าบริษัทชั่วคราวเท่านั้น ในแง่ความเร็วการเติบโตในอุตสาหกรรมไลฟ์สตีม หากนำเข้ามาคำนวณด้วยแล้ว ตอนนี้มูลค่าบริษัทเฟยอวี้ประมาณหลายหมื่นล้านหยวน หากคุณใช้เกณฑ์การคำนวนด้วยมูลค่าที่ประเมินขั้นต้นเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเข้าซื้อกิจการเลย”
หยางจินตงเป็นใคร? แค่ได้ยินจ้าวเฉียนเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีถึงเป้าหมายของอีกฝ่าย จ้าวเฉียนต้องการเข้าซื้อกิจการแน่นอน แต่ในเมื่อใช้เกณฑ์พื้นฐานจากการประเมินชั่วคราว เด็กหนุ่มคนนี้คงต้องกลับไปเตรียมการบ้านมาใหม่
“เอาแบบนี้ดีกว่าครับคุณหยาง เราต่างฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลากันทั้งคู่ บอกตัวเลขที่อยากได้มาเลยว่าเท่าไหร่ เพื่อขึ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือราคากิจการทั้งหมดเลยก็ได้”
หยางจินตงเห็นว่าจ้าวเฉียนไม่ได้ล้อเล่น เขาจึงตอบสีหน้าจริงจังกลับไปว่า
“เป็นผมคงไม่กล้าถามแบบนี้ตรงๆ คุณจ้าว เราเพิ่งมาพบเจอกันครั้งแรก แต่การที่เอ่ยปากสอบถามความลับของบริษัทเลยแบบนี้ ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นะ”
“เหอะเหอะ…คุณหยางครับ เราจะเชื่อได้ยังไงว่าอีกฝ่ายที่มาหาจะมีปัญญาซื้อกิจการของเราได้? ไม่มั่นใจเกินไปหน่อยเหรอ?”
เฉกเช่นเดียวกับที่หยางจินตงกำลังจะเอ่ยกล่าวต่อ เสียงของหยางหมิง หลานชายของเขาก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“หยางหมิง แกพูดแบบนี้หมายความว่าไง? รู้จักคนที่มาหา? แล้วแกว่างนักรึไงถึงมาที่นี่ได้?”
เมื่อหยางจินตงเห็นว่าเป็นหยางหมิงที่เข้ามา เขาก็ลุกขึ้นออกไปทักทายอีกฝ่ายทันที
“ก็ผ่านมาเฉยๆ พอดีได้ยินจากแผนกต้อนรับว่า มีคนมาหาพ่อเกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร? แต่ไม่มั่นหน้าไปหน่อยเหรอ?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หยางตงหมิงดึงหยางหมิงไปไว้มุมหนึ่ง และเอ่ยเสียงค่อยกระซิบขึ้นว่า
“แกไว้หน้าอีกฝ่ายด้วย เขาคนนี้ดูท่าจะจริงจังไม่น้อย จากที่ฟังแล้วเขาต้องการซื้อแพลตฟอร์มของพวกเรา หรือหลานจะลองเข้าไปคุยเอง?”
“เอาสิ! ผมอยากจะเห็นเหมือนกันว่า ใครกันที่อยากซื้อกิจการของเรา ในเมืองแห่งนี้ยังมีเศรษฐีคนไหนที่ผมไม่รู้จัก!”
หยางหมิงเดินตรงเข้าไปหาทันที ขณะเดียวกัน จ้าวเฉียนก็หันหน้าไปมองอีกฝ่าย ทั้งสองต่างสบตากันในทันใด
“ไอ้เวร! แกยังกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกงั้นเหรอ!?! กูตามหาอยู่พอดี!!”
หยางหมิงพุ่งเข้าใส่พร้อมคว้าคอจ้าวเฉียนโดยไว
จ้าวเฉียนเองก็ไม่สุภาพเช่นกัน กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายพร้อมสวนร่างอีกฝ่ายจนติดกำแพง เสียงกระแทกดังปัง
หยางจินตงรีบเข้ามาห้ามปราบการปะทะครั้งนี้ และกล่าวเตือนกับจ้าวเฉียนว่าอย่าทำอะไรบ้าๆ ในที่แห่งนี้โดยเด็ดขาด
แต่จ้าวเฉียนไม่สนใจหยางจินตงทั้งสิน และเค้นเสียงเอ่ยกลับหยางหมิงด้วยน้ำเสียงชืดเย็นว่า
“ฉันมาที่นี่เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือ ไม่ใช่มาหาเรื่องแก”
หยางหมิงพยักหน้าอย่างกวนๆ และตอบกลับเสียงดังว่า
“เออ! งั้นทำไมเราไม่มานั่งคุยเรื่องธุรกิจกัน!? ฉันจะคุยกับแกเอง!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและคลายมือออกจากคอเสื้อของหยางหมิงทันที
หยางหมิงเองก็ปล่อยจ้าวเฉียนไปเช่นกันด้วยความเย็นชา จากนั้นยังขอให้หยางจินตงออกไปจากห้องทำงานแห่งนี้ โดยให้เหตุผลว่า เขาจะจัดการเองทั้งหมด
หยางจินตงกลัวลูกจะโมโหใส่ จึงรีบออกไปทันที
จ้าวฉเฉียนบอกกับหยางหมิงแบบเดียวกับที่พ๔ดกับหยางจินตงก่อนหน้านี้ และขอให้อีกฝ่ายเสนอราคามา
หยางหมิงระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและกล่าวว่า
“ไอ้คนขับแค่จากัวร์อย่างแกมีดีแต่ขี้เก๊ก แสร้งทำมาที่นี่ทั้งยังอ้างว่าจ่ายไหวอีกงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลน ตอบไปว่า
“เสนอมาเถอะ ถ้าเหมาะสมฉันก็จะไม่ต่อรอง! รีบๆ เสนอมาเถอะ อย่าทำตัวเยาะแยะอย่างกับผู้หญิง!
“เออได้! ตกลง! ถ้าแกอยากเป็นผู้ถือหุ้มรายใหญ่ก็เอามาหนึ่งหมื่นล้าน หากอยากซื้อกิจการทั้งหมดไปรวมแล้วสามหมื่นล้าน!”
“แม่ตายรึไง? มูลค่าบริษัทอย่างมากสุดก็เฉียดหมื่นล้าน แต่แกตั้งราคาสามหมื่นล้าน กลับบ้านไปดูดนม แล้วถามแม่แกละกันว่าจะขายไหม? ฉันมัดจำก่อนก็ได้ร้อยล้าน!”
“ไอ้เวร! มึงพูดใหม่อีกทีสิ?!”
หยางหมิงพุ่งพรวดเข้าไปหวังต่อยจ้าวเฉียน แต่กลับถูกจับข้อมือไว้ได้ทัน
จ้าวเฉียนบีบข้อมืออีกฝ่ายแน่นดังกร๊อบ กล่าวเย้ยหยันขึ้นว่า
“ก็บอกไปแล้วไง กลับไปดูดนมแล้วถามแม่แกว่าจะขายไหม? ฉันจะโอนค่ามัดจำจำนวนหนึ่งร้อยล้านเป็นประกันภายในยี่สิบนาที ถามเธอเดี๋ยวนี้ว่าพอใจไหม!”
หลังพูดจบจ้าวเฉียนสะบัดข้อมืออีกฝ่ายทิ้งทันที ผลักร่างอีกฝ่ายล้มตัวอัดโซฟา และลุกขึ้นพร้อมจากไปทันที
หยางหมิงเหลือบมองสุดเคลือบแคลงใจ แน่นอนว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายแน่นอน ทั้งยังรู้สึกอีกว่าตนไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับไอ้สถุนนี่อีกต่อไป
หยางหมิงตามหาจ้าวเฉียนเพื่อบังคัญอีกฝ่ายให้กราบเท้า ในเมื่อเจอตัวแล้วคิดเหรอว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?
หยางหมิงรีบไล่ตามอีกฝ่ายออกไปทันที พร้อมตะโกนด่าทอจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน ก่อนเรียกรปภ.ให้มาจับตัวจ้าวเฉียนเอาไว้โดยเร็ว
ท้ายที่สุดนี้ ที่นี่คือถิ่นของหยางหมิง รปภ.ทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา ดังนั้นแต่ละคนจึงแห่เข้าไปหยุดจ้าวเฉียนในทันที
“ไอ้เวรนั้นกล้าทำร้ายร่างกายกู รปภ.! ล็อกตัวมันไว้ กูจะสั่งสอนมันเอง!”
ขณะที่รปภ.กำลังจะลงไม้ลงมือ แต่ทันใดนั้นเองจ้าวเฉียนกลับหันควับ พุ่งไปบีบคอจ้าวหมิงพร้อมยกร่างจนปลายเท้าอีกฝ่าย ยกลอยจากพื้น
“ใครกันแน่ที่สั่งสอนใคร? ถ้าพวกแกขยับ ฉันก็ไม่รับประกันนะว่าเจ้านายพวกแกจะอยู่ดีหรือไม่?”
รปภ.ทุกคนไม่กล้าผลีผลามลงมือ จึงใช้ไม้อ่อนอธิบายไปว่า ในมือของจ้าวเฉียนเป็นถึงลูกชายของCEOบริษัทเฟิงอวี้ ไม่ใช่คนที่ควรตอแยด้วยเลย
จ้าวเฉียนตอบกลับพร้อมน้ำเสียงเมินเฉยว่า
“อย่าขยับ! แกบังคับฉันเองที่ให้ใช้ไม้แข็ง! อย่าให้ต้องใช้นามสกุลฉันจัดการพวกแก!”
คล้อยหลังกล่าวจบ จ้าวเฉียนก็ลากคอหยางหมิงเดินออกไป ยามนี้ลำคอของหยางหมิงยังถูกบีบแน่น และจำใจเดินตามจ้าวเฉียนออกไปด้วย ส่วนพวกรปภ.และพนักงานก็รีบติดตามออกไปทันที
ขณะที่กำลังจะเดินออกจากประตูอาคาร พวกตำรวจก็มาถึง
หยางจินตงตะโกนสุดเสียงว่า
“คุณตำรวจ! มีคนร้ายอยู่ที่นี่ ได้โปรดช่วยหลานชายผมด้วย!”
ตำรวจรีบเข้าไปเตือนให้จ้าวเฉียนปล่อยอีกฝ่ายโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาอาจต้องใช้กำลังเข้าบังคับ
ถึงอย่างไร พวกเขาอาจวิสามัญยิงได้ก็จริง แต่เรื่องนี้จำต้องรายงานขึ้นไปยังเบื้องบน ส่วนจะโดนอะไรอีกบ้างก็ยังไม่ทราบ เนื่องด้วยเข้าใจในจุดนี้ดี จ้าวเฉียนจึงยอมปล่อบหยางหมิงไปในที่สุด
หยางหมิงโมโหอย่างมาก และกำหมัดแน่นยกขึ้นชกอีกฝ่ายสวนกลับทันที แต่มีหรือที่จ้าวเฉียนจะพลาดท่าง่ายๆ? เขาจึงยกเท้าขึ้นหวดน้องชายตัวน้อยบริเวณเป้าของหยางหมิงเต็มรัก
พวกตำนวจรีบวิ่งเข้ามาแยกระหว่างสองฝ่าย และเข้าตักเตือนไม่ให้ก่อความวุ่นวายกันอีก
หยางหมิงยกสองมือกุมเป้า ใบหน้าเขียวสลับม่วงเพราะความจุก
“ไอ้เวร! กุจะฆ่ามึง!! มึงคิดว่าตัวเองใหญ่มากเหรอวะ!!!”
จ้าวเฉียนไม่เอ่ยปากอันใดตอบ เพียงเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อยด้วยความรังเกียจ
“หยางหมิง แกจำหน้าของฉันเอาไว้ให้ดี”
หลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็กำลังจะเดินขึ้นรถ
แต่ตำรวจกลับไม่ยอมปล่อยตัวให้จากไปโดยง่าย พวกเขาต้องการพาตัวทั้งสองเข้าให้ปากคำต่อ
หยางหมิงตอนนี้จัเจ็บไม่หาย เขาตะโกนลั่นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า
“กูไม่ไป! กูจะโรงพยาบาล! ไอ้พวกตำรวจ พวกแกคุมตัวมันไป แล้วห้ามปล่อยมันจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากกู!”
แม้ว่าหยางเฉิงจะมีเส้นสายในเมืองแห่งนี้อยู่บ้าง แต่แหกปากเช่นนี้ตอนกลางวันแสกๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ตำรวจเร่งเอ่ยปากตักเตือนหยางหมิงอีกยกใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังปล่อยตัวเขาให้ไปที่โรงพยาบาลก่อน และพาจ้าวเฉียนไปที่โรงพัก
หยางหมิงโทรเรียกพ่อของเขามาทันทีและบอกให้โทรหาผู้อำนวยการสำนักงานเมือง ให้ใช้อำนาจเข้าจับกุมจ้าวเฉียน
เมื่อหยางเฉิงได้ยินว่า ลูกของตนถูกทำร้าย ก็โมโหอย่างมากและต่อสายตรงโทรหาตำรวจชั้นผู้กำกับทันที เพื่อเรียกร้องขอให้ลงโทษจ้าวเฉียนสถานหนัก