ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่201 เค้กชิ้นหนึ่ง
ตอนที่201 เค้กชิ้นหนึ่ง
จ้าวเฉียนเดินจากห้องประชุมออก ขณะที่กำลังจะลงลิฟต์จากไป จู่ๆฟางนี่ก็วิ่งไล่ตามหลังเขามา
“จ้าวเฉียน นายคงเหนื่อยแล้ววันนี้ ไปนั่งพักที่ห้องทำงานฉันก่อนดีกว่า!”
ฟางนี่รีบเอ่ยปากเชิญ
แต่จ้าวเฉียนรู้สึกว่า ตนไม่มีอะไรจะคุยกับเธออีกต่อไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เขาตอบปฏิเสธกลับไปอย่างเฉยเมยว่า
“คุณฟาง มีอะไรก็พูดมันตรงนี้เลยครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไปแล้ว ถ้าผมเข้าไปคุยกับคุณในห้องทำงาน แล้วผู้จัดการจางมาเห็นเข้า เกี๋ยวก็เข้าใจผิดกันอีก”
ฟางนี่คลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า กล่าวตอบไปว่า
“ฉันรู้นะว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังหวังว่านายจะพอรับฟังมันหน่อยนะ คือ…ฉันไม่กล้ารับรองเท่าไหร่น่ะ ว่าเงินปันผมจากนี้ของนายจะลดลงหรือเปล่า…”
ไม่นานก่อนหน้านี้ จ้าวเฉียนที่ยังมีอำนาจควบคุมบริหารบริษัทฟางนี่ได้ เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินปันผลในส่วนที่เขาจะได้รับอยู่แล้ว
แต่ด้วยความที่ว่า ฟางนี่ยังคงหลงเชื่อความสามารถของจางหยางอย่างโง่ๆ ทำให้จ้าวเฉียนรวมไปถึงตัวเธอเองสูญเสียความสามารถนี้ไป และเขายังตระหนักดีว่า ตนเองจะต้องโดนจางหยางกดขี่เรื่อยๆหลังจากนี้
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบว่า
“ผมไม่เคยกังขาสงสัยในตัวคุณนะครับ ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมมีธุระต่อ ขอตัวนะครับ”
ฟางนี่ยิ้มแห้งพยักหน้าตอบ ขณะที่กำลังจะเตรียมส่งจ้าวเฉียนออกไป ในเวลานั้นเองจางหยางและคนอื่นๆก็รีบเร่งออกมา
“จ้าวเฉียน เดี๋ยวก่อน! เรามีบางอย่างจะต้องบอกนาย!”
จ้าวเฉียนทำได้เพียงหยุดฝีเท้าและรอให้ทั้งสามตรงเข้ามาหา
จางหยางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและกล่าวขึ้นว่า
“พวกเราได้ลงมัติกันแล้วว่า นายเองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเรา ดังนั้นก็ควรมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน หากมีข้อสงสัยใดๆ ก็สามารถเรียกพวกเรามาประชุมได้ตลอด”
จ้าวเฉียนทราบดี ทั้งสามจะต้องมีแผนร้ายอะไรสักอย่าง และไม่มีทางพูดดีกับเขาแน่นอน
“ก็ดีครับ เพราะผมไม่รู้ว่าพวกคุณทั้งสามพูดอะไรกันเมื่อกี้?”
จ้าวเฉียนยิ้มถาม
“ที่คุยกันเมื่อกี้คือ พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งตั้งในนายขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกการตลาดของบริษัท รับผิดชอบโปรเจค และที่สำคัญที่สุดคือ นายต้องไปเอาโปรเจคจากหัวโหย้วกลับมาโดยเร็วที่สุด แต่เดิมนี้โปรเจคนี้เป็นของเรา ฉันยอมรับนะว่าเคยเข้าใจผิดกับประเด็นเหลียวเซียวหยุนไป แต่ตอนนี้มันเป็นหน้าที่ของนายที่ต้องนำความร่วมมือกลับมา คงไม่ยากเกินมือนายใช่ไหม?”
เนื่องด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว จึงทำให้จ้าวเฉียนได้รับเค้กมาส่วนหนึ่งมากินโดยง่ายดาย
“โอเคครับ ผมจะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด ได้ความยังไงแล้วเดี๋ยวผมแจ้งให้พวกคุณทราบนะครับ”
หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับเดินจากไป ในขณะที่พวกจางหยางและคนอื่นๆต่างแสยะยิ้มอย่างมีชัย
จางหยางกล่าวขึ้นว่า
“คุณฟู่ค่อนข้างรอบคอบและมองการ์ไกลดีเยี่ยม จ้าวเฉียนคนนี้แม้จะพยศ แต่มันก็มีความสามรถสูงมาก ตราบใดที่พวกเราทั้งสามยังคงร่วมมือกันอยู่ เราย่อมหลอกใช้งานมันได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีก! ฮ่าฮ่า…”
หวานฮันซูเองก็หันมากล่าวเยินยอฟู่เทียนเช่นกัน
“คุณฟู่มีความรู้มีประสบการณ์มากกว่าพวกเราสองคนมากจริงๆ คราวหน้าคุณต้องสอนพวกเราบ้างแล้ว เผื่อจะได้มีลูกเล่นในวงการนี้มากขึ้น!”
ฟู่เทียนคลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจโดยกล่าวตอบไปว่า
“พวกนายทั้งคู่สุภาพเกินไปแล้ว หลังจากที่ฝ่าฟันเพื่อความรู้รอดในวงการนี้มานับสิบปี สิ่งหนึ่งที่ฉันตกผลึกคิดได้ก็คือ การรู้จักใช้คนให้ถูกงาน จ้าวเฉียนคนนี้มีความสามารถที่สูง แค่ต้องรู้จักให้เขาอยู่ถูกที่ก็เท่านั้น เอาล่ะฉันยังมีธุระที่ต้องทำอีกมาก ถ้ามีอะไรก็โทรหาได้เลย พวกเราสามคนถือเป็นพันธมิตรกันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”
จางหยางและหวานฮันซูคลี่ยิ้มให้ทันทีพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ
หวานฮันซูลงกล่าวคำอำลากับจางหยาง และลงลิฟต์ไปพร้อมกับฟู่เทียน ระหว่างนั้นหวานฮันซูก็กล่าวขึ้นว่า
“คุณฟู่เพิ่งได้ฟู่ไห่หนุนหลังแบบนี้ อนาคตต่อไปการจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอุตสากรรมเกมของประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หวังว่าต่อไปคุณฟู่จะเอ็นดูน้องชายคนนี้ไว้สักคน”
ฟู่เทียนทราบดีว่า หวานฮันซูกำลังหมายความว่าอย่างไน เขาจึงยิ้มตอบไปว่า
“น้องชายสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าในอนาคตนายอยากร่วมมือกับฉันจริงๆ เราค่อยไปคุยกันนอกรอบดีกว่า”
หวานฮันซูมีความสุขอย่างมาก เขาแค่ต้องการลงทุนร่วมกับบริษัทเหล่ยอู่ที่มีฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ค่อยหนุนหลัง ถ้าเขาสามารถเซ็นสัญญาได้สำเร็จ นั้นหมายถึงกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคต และเขาก็จะมีผลงานชิ้นเอกส่งให้กับบริษัทวอลล์สตรีท
“โอ้ ขอบพระคุณมากครับคุณฟู่ ถ้าอย่างนั้น…คุณฟู่ลองประมาณได้ไหมครับว่าจะให้ราคาต่อหุ้นและจำนวนเท่าไหร่ดี?”
หวานฮันซูเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
ฟู่เทียนหาใช่คนโง่และไม่ใช่พ่อพระคนใจบุญ เขาไม่ยอมให้โอกาสหวานฮันซูเข้ามาทำเงินโดยที่ตนไม่ได้ประโยชน์แน่นอน เขาคือนักธุรกิจผู้แสวงหาแต่กำไรเท่านั้น และเงินคือราชา
“แนวโน้มการพัฒนาขงอบริษัทเหล่ยอู่หลังจากนี้จะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของฉันแล้ว ส่วนเรื่องราคาหุ้นกับจำนวน มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายเตรียมพร้อมกับมันมากแค่ไหน”
“แล้วคุณฟู่พอจะประมาณการณ์ได้ไหมครับ?”
“ตอนนี้ฉันมีหุ้นอยู่ในมือประมาณ55%ได้ นี่คือร่วมกับส่วนผู้ถือหุ้นที่เป็นคนของฉันแล้ว ถ้านายอยากได้จริงๆ ฉันสามารถให้ได้มากถึง20% เห็นว่าเป็นพี่น้องกัน ฉันลดให้เหลือ200ล้าน”
ในที่สุดโอกาสของฟู่เทียนก็มาถึง และเสนอราคาหวังฟันกำไรออกไปทันที
หวานฮันซูตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่า200ล้าน ถ้าราคาขนาดนี้ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะคืนทุน? อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าพูดไปตรงๆ จึงกล่าวตอบอย่างมีชั้นเชิงว่า
“คุณฟู่นี่ใจดีจังนะครับ แต่เรื่องนี้ผมไม่สามารถตัดสินใจได้เช่นกัน คงต้องขึ้นอยู่กับหัวหน้าผมแล้วว่าสนใจหรือเปล่า ผมต้องยื่นเรื่องรายงานกับสำนักงานใหญ่ เอ่อ…อันที่จริงผมต้องการแค่10%พอครับ พอจะขายให้ในราคา…50ล้านได้ไหมครับ?”
ฟู่เทียนได้ยินแบบนั้นก็หงุดหงิดขึ้นทันที หวานฮันซูคนนี้ไม่มีความจริงใจกับเขาเลย
“ฉันลืมไปว่า น้องชายยังมีบริษัทอื่นที่อยากลงทุนด้วย คงใจแคบแบ่งเงินลงทุนให้ฉันเพียงเท่านี้ ก็เข้าใจนะครับ ฉันไม่ใช่คนที่นายเคารพคนเดียว”
หวานฮันซูตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน เขารีบตอบกลับไปโดยเร็ว
“คุณฟู่อย่าเพิ่งหัวเสียนะครับ เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้จริงๆ ทางสำนักใหญ่จำกัดงบให้ผมแค่100ล้านเท่านั้น ถ้ามากไปกว่านั้นทางสำนักใหญ่คงเรียกตัวผมไปคุยแน่นอน และผลลัพธ์ที่ได้อาจจะ….”
ฟู่เทียนพยักหน้าท่าทีเฉยเมย กล่าวตอบทันทีว่า
“นายอยากให้ฉันสอนเรื่องธุรกิจใช่ไหม? อย่างแรกเลยนะ นายต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ามากกว่านี้ ลองไปคุณกับทางนั้นดู บอกให้พวกเขาฟังว่า บริษัทเหล่ยหู่หลังจากที่ได้รับเงินลงทุนจากฟู่ไห่จะก้าวหน้าขนาดไหนในอนาคต ฉันขอตัวก่อน”
“คะ-ครับ…เดินทางปผลอดภัยนะครับคุณฟู่”
หวานฮันซูกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
หวานฮันซูคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง และเขาจะไม่พลาดโอกาสนี้เด็ดขาด เขารีบกลับบ้าน เขียนอีเมลส่งไปยังสำนักงานใหญ่ของวอลล์สตรีททันที เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและขอความเห็นจากหัวหน้าเขา
ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนหยิบโทรศัพท์โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันทีหลังออกจากบริษัทไป
“ฮาโหล วันนี้คุณว่างไหม?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบอย่างสุขใจว่า
“ว่างเสมอ! งั้น…พวกเราไปไหนดี? คลาสเรียนวันนี้น่าเบื่อมาก ออกมาเที่ยวกับฉันหน่อยมา! จะว่าไปช่วงนี้นายเป็นยังไงบ้าง?”
“อ่า…คนจนๆอย่างผมก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆนั้นแหละครับ ใครจะดีเท่าคุณกัน อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่เพรียบพร้อม แต่เพื่อคุณแล้ว ผมออกมาเจอได้เสมอ!”
เหลียวเซียวหยุนหลี่ตาแคบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“อืมม…แปลกๆแหะ นายโทรหาฉันแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
ที่เธอถามแบบนั้นเพราะทราบดีว่า คนอย่างจ้าวเฉียนจะไม่มีทางเหลียวแลเธอเด็ดขาดหากไร้ซึ่งจุดประสงค์อื่นลับหลัง
“ก็แค่อยากเจอคุณเฉยๆ ทำไม? กลัวผมลักพาตัวไปเหรอ?”
พอได้ยินแบบนั้นเหลียวเซียวหยุนก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขขึ้นทันที และตอบกลับโดยไวว่า
“ก็ได้ ถ้างั้นมารับฉันที่มหาวิทยาลัยหน่อย ช่วงบ่ายไม่มีเรียน ไปเที่ยวกันเถอะ”
จ้าวเฉียนฮัมเพลงเล็กน้อย ตอบไปว่า
“เข้าใจแล้ว เจอกันหน้าประตูหลังมหาลัย”
“เยี่ยม! แล้วเจอกัน!”
จ้าวเฉียรีบขับรุตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันที ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็เห็นเหลียวเซียวหยุนยืนรอเขาอยู่หน้าประตูด้านหลังมหาวิทยาลัย
แต่อย่างไร เธอไม่ได้อยู่คนเดียว จ้าวเฉียนยังสังเกตเห็นชายคุ้นหน้าอีกคนหรือก็คือฟู่เอ๋อ เขากำลังพูดอะไรกับเธอสักอย่าง ทว่าเหลียวเซียวหยุนกลับดูรำคาญอีกฝ่ายมาก
จ้าวเฉียนจอดรถริมทางและลงจากรถเดินไปหา พอเข้าไปใกล้ก็พลันได้ยินบทสนทนาระหว่างฟู่เอ๋อกับเหลียวเซียวหยุนพอดิบพอดี
“เสี่ยวหยุน ฉันจริงใจกับเธอมากนะ ทำไมเธอถึงไม่เชื่อใจฉันสักที? ลองให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะนะ แล้วจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ฉันนี่แหละคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ!”
“น่ารำคาญ! ฉันพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะว่าฉันไม่สนใจนาย! ไม่เข้าใจภาษามนุษย์รึไง? ถ้ายังตามตื้ออยู่แบบนี้ นายได้โดนกระทืบแบบครั้งก่อนแน่!”
ขณะที่ฟู่เอ๋อกำลังรุมเร้าเหลียวเซียวหยุนอย่างไม่หยุดหย่อน จ้าวเฉียนก็เดินเข้ามาพอดี เธอที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอด้ขาแน่นต่อหน้าต่อตาฟู่เอ๋อ
ฟู่เอ๋อที่เห็นดังนั้นก็พลันโกรธจัด คำรามขู่จ้าวเฉียนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“มึงมายุ่งอะไรกับเสี่ยวหยุนของกูอีก!?”