ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่208 ตัวตนที่แท้จริงของหวังเฉียง
ตอนที่208 ตัวตนที่แท้จริงของหวังเฉียง
หวังเฉียงเห็นจ้าวเฉียนจึงเดินไปหาทันทีด้วยท่าทีหยิ่งผยองยิ่ง
“โอ้! นี่ใช่จ้าวเฉียนรึเปล่า? พาสาวน้อยออกมาเที่ยวอีกแล้ว หวังว่าจะได้โปรเจคกลับมานะ!”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางถามขึ้นว่า
“รอผู้จัดการหวังกำลังเปลี่ยนต้นไม้เกาะหากินอยู่หรือครับ? อืม…อสังหรริมทรัพย์หวังก็ต้นใหญ่ดีนะครับ คุณน่าจะชอบ?”
“ฮ่าฮ่า….ฉันจะไปทำงานที่อสังหาริมทรัพย์หวังแล้ว แต่บริษัทฟางนี่ฉันก็ยังไม่ลาออกนะ”
หวังเฉียงเอ่ยตอบอย่างภาคภูมิใจ
ในเวลานี้เอง หวังซินซินก็กล่าวขึ้นว่า
“พี่ชาย อย่าไปยุ่งกับเขาเลย พวกเราไปกันเถอะ”
จ้าวเฉียนตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเธอเรียกว่า พี่ชาย หวังเฉียงกลายไปเป็นพี่ชายของหวังซินซินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หวังเจียงหลินหัวเราะขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าของจ้าวเฉียน เขาอธิบายขึ้นว่า
“ใช่แล้ว หวังเฉียงเป็นลูกชายของภรรยาคนแรกฉัน พวกเราเลิกกันเพราะความขัดแย้งนิดหน่อย จากนั้นฉันก็แต่งงานใหม่ ส่วนพวกเขาฉันก็แอบช่วยอย่างลับๆมาหลายปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดตัวสักทั ฉันมีทายาทตระกูลหวังไว้สืบทอดต่อแล้ว มันไม่ง่ายกหรอกนะที่แกจะโค่นลง!”
ละครศึกสายเลือดดูท่าจะมีอยู่จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหวังเฉียงถึงมีนามสกุลเดียวกับสองคนนี้ และพอวันนี้ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย เขาก็ไม่ลังเลที่จะกลับไปใช้ชีวิตดั่งนายน้อยทายาทเศรษฐี
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หวังเฉียงจะกลับไปเป็นทายาทผู้สืบทอดมรดกตระกูลหวังแล้ว แต่ในสายตาของจ้าวเฉียน อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนกรวดริมทางอยู่ดี
จ้าวเฉียนยื่มมือออกไปจับทักทายหวังเฉียง แต่หวังเฉียงกลับกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ
“นายไม่มีคุณสมบัติมาเทียบชั้นกับนายน้อยอย่างฉันแล้ว จ้าวเฉียนยอมรับชะตากรรมซะนะ คงตกใจไม่น้อยเลยใช่ไหม…ที่ฉันคือทายาทเศรษฐีตระกูลหวัง! แกเตรียมตัวตาย! ฮ่าฮ่าๆๆ…”
หวังเฉียงระเบิดหัวเราะเยาะลั่นด้วยความสะใจ
จ้าวเฉียนเก็บมือของเขากลับไปและยิ้มตอบว่า
“เป็นทายาทเศรษฐีแล้วทั้งที หวังว่าจะทำอะไรผมได้บ้างนะครับ หุหุ…”
หวังเฉียงพ่นลมหายใจดังหึ เดินกระแทกไหล่จากจ้าวเฉียนสวนเข้าไปในโรงแรม หวังเจียงหลินกับหวังซินซินเหลือบหางตามองจ้าวเฉียนราวกับผู้ชนะและเดินตามหวังเฉียงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เหลียวเซียวหยุนถึงกับกลอกตาใส่ จับต้องครอบครัวตระกูลหวังที่เดินเข้าไปอย่างหยิ่งผยองว่า
“ช่างยอดเยี่ยมอะไรแบบนี้ ก็แค่ตระกูลรวมขยะ หึ! ถ้าพวกมันกล้าสร้างปัญหาให้นาย บอกฉันได้ทุกเมื่อเลย”
จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นซาบซึ้ง เคลื่อนตัวไปกอดเหลียวเซียวหยุน ทำเสียงสั่นราวกับกำลังร้องไห้
“โอ้… ผม…ผมประทับใจในตัวคุณมาก คุณใจดีกับผมมาโดยตลอด ไม่รู้เลยว่าควรตอบแทนยังไงดี! เอาแบบนี้ไหม…ผมขอพลีร่างกายของผมให้แก่คุณ? ถ้าสนใจเข้าไปเปิดห้องกันเลยดีกว่า ผมจะตอบแทนคุณจนพอใจเลย!”
เหลียวเซียวหยุนกระตุกยิ้มสุดจะหงุดหงิดกับท่าทีขี้เล่นของไอ้หมอนี่ กระชับกำปั้นทุบอกจ้าวเฉียนไปดอกใหญ่
“ไอ้หื่น! คิดจะเอาเปรียบฉันทั้งวันเลยใช่ไหมห๊ะ!? หึ!”
เหลียวเซียวหยุนบ่นไม่หยุดปาก
จ้าวเฉียนรีบอธิบายโดยไวว่า
“ผมเอาเปรียบคุณที่ไหน ผมแค่ตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณด้วยร่างกายของผมเท่านั้น ถ้าพลาดแล้วจะเสียใจนะ!”
เหลียวเซียวหยุนรีบส่ายหัวตอบทันใด
“ไม่ ไม่ ยังเร็วเกินไป ถ้าจะตอบแทนฉันจริงๆ งั้นพาฉันไปดูหนัง! ฉันได้ยินมาว่า มีหนังเรื่องหนึ่งเพิ่งเข้าโรงชื่อว่า กาลอดีตที่จางหาย กำลังดังเลย ไปดูกันเถอะ!”
จ้าวเฉียนยิ้มอเยาะเอ่ยถามสวนไปว่า
“อดีตอะไรนะ? แนวเจาะเวลาหาโจโฉงี้เหรอ?”
เหลียวเซียวหยุนถึงกับกลอกตามองบนใส่ เอ่ยตอบกลับไปอีกครั้งว่า
“โอ้ย! นายจะดูแต่สามก๊กรึไง! ที่แสร้งทำเป็นงงแบบนี้คือ? กลัวดูแล้วคิดถึงแฟนเก่ารึไง? สรุปจะไปไหม?”
“ไปสิ! ก็ผมจะไปรู้เหรอ ไม่ชอบดูหนังแนวนี้ แต่ก็ลองดูหน่อยก็ได้ ผมว่างพอดี”
เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว พาจ้าวเฉียนวิ่งไปที่โรงหนังบริเวณแถวนั้น
จ้าวเฉียนมึค่อยชอบหนังแนวแบบนี้เท่าไหร่ เอาตามตรงก็ชอบแนวกำลังภายในโบราณ ไม่ก็หนังเชิงวรรณธรรมไปเลย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหลียวเซียวหยุนจะสนใจหนังแนวนี้เป็นอย่างมาก เริ่มเรื่องได้ไม่นานเธอก็นั่งน้ำตาซึมแล้ว
จ้าวเฉียนหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เช็ดน้ำตาให้เธอพลางลูบหลังอย่างแผ่วเบา เพื่อปลอบโยนเธอ
พอมีถึงฉากสะเทือนจิตใจอย่างตอนที่นางเอกกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แสนคุ้นเคยกับสามี แต่วันนี้กลับเหลือตัวคนเดียว เหลียวเซียวหยุนก็โผเข้าสวมกอดจ้าวเฉียนไว้แน่น และระเบิดน้ำตาออกมาในอ้อมแขนของเขาทันที
ไม่เพียงแค่เหลียวเซียวหยุนคนเดียว สาวๆภายในโรงต่างก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันด้วยความเศร้าโศก
จ้าวเฉียนเอ่ยกระซิบเสียงต่ำว่า
“นี่ก็แค่หนังไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ทำไมถึงเศร้าขนาดนั้น?”
เหลียวเซียวหยุนร้องสะอื้น
“แต่พล็อตเรื่องมันสร้างจากเรื่องจริงนะ ในชีวิตจริงต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ฉันกลัวจัง ไม่กล้ารักใครแล้ว ถ้าต้องเลิกกันในสักวัน ฉันคงเศร้าหนักแบบนางเอกแน่นอนเลย…”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องไปรักใครจนตาย แต่ผมบอกไว้ก่อนเลย เป็นโสดมันน่ากลัวกว่านี้อีกนะ ไม่สิ…การอยู่คนเดียวน่ะน่ากลัวที่สุดแล้ว ถึงตอนนั้นก็อย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน็อย่าไ”
“แต่ถ้ารักแล้วต้องมาจากกันแบบนี้ มันไม่เจ็บกว่ารึไง? อย่างกับตายทั้งเป็น”
“มันไม่เกี่ยวหรอกนะว่า ก่อนหน้านี้จะรักกันมากแค่ไหน มันอยู่ที่ว่าปัจจุบันเรายังให้ค่ากับสิ่งนี้มากแค่ไหนต่างหาก ถ้าให้ค่ามันมากก็เจ็บมาก ถ้าให้ค่ามันน้อยก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตของเราคนยังมีอะไรให้ต้องพบเจออีกมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก”
เหลียวเซียวหยุนเงียบนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง และจู่ๆเธอก็สวมกอดจ้าวเฉียนแน่น ใบหน้าของทั้งคู่แทบจะแนบชิดกันแล้ว ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า
“งั้น…เราลองมารักกันไหม ถ้าเป็นนาย…คงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนตะลึงไปชั่วขณะ ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตัวเองควรตอบยังไงกลับไปดี? เห็นได้ชัดว่าถ้าปฏิเสธเธอภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงจะดูไม่ค่อยเหมาะสม แต่ในอีกด้านเขาก็รู้ความรู้สึกตัวเองดีเช่นกันว่า ตนเองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับเธอ
จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบกลับไปว่า
“ไม่…เดี๋ยวก่อน นี่มันกะทันหันเกินไป คุณทั้งสวยทั้งมีฐานะครอบครัวที่ดี เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตนี้จะไม่มีผู้ชายดีๆผ่านมาเลยจริงไหม? ใจเย็นก่อน…ใจเย็น…”
เหลียวเซียวหยุนยื่นสองมือขึ้นมาประกบใบหน้าจ้าวเฉียน เธอยิ้มหวานกล่าวตอบไปว่า
“ก็นายไง…นายไม่รักฉันเหรอ?”
จ้าวเฉียนกัดฟันแน่น สารภาพไปตามตรงว่า
“ผมบอกตามตรงนะครับ คือ…ผมไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ ถ้าจะต้องคบหากับคุณในความสัมพันธ์แบบนั้น เพราะยังไงสถานะของพวกเรามันต่างกันเกินไป ผมเป็นแค่พนักงานธรรมดา ใครเห็นก็บอกกันเป็นเสียงเดียวว่ามันไม่เหมาะสมกันเลย ผมไม่อยากให้คุณเสียหน้า… จริงๆผมเองก็ชอบคุณนะ แต่ถ้าสักวันเราไปกันไม่รอดแล้วต้องเลิกรากัน จะมีสักกี่คู่ที่กลับมาคืนดีได้ดังเดิม? ถึงตอนนั้นพวกเราอาจกลายเป็นศัตรูกันเลยด้วยซ้ำ คุณต้องการแบบนั้นเหรอ?”
เหลียวเซียวหยุนถอยกลับไปนั่งลงบนที่นั่งของเธอ และไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย
หลังจากนั้นไม่นานหลังก็จบลง ทั้งสองเดินออกจากโรงโดยที่ไม่พูดอะไรกันสักคำ
จ้าวเฉียนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงหันมาพูดกับเหลียวเซียวหยุนว่า
“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”
เหลียวเซียวหยุนแค่พยักหน้าทีนึงตอบน้ำเสียงแผ่วว่า
“อืม บาย”
จ้าวเฉียนโบกมือลาและเดินกลับไปที่รถของตัวแอง แต่หลังจากเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆเหลียวเซียวหยุนก็พุ่งเข้ามาพร้อมโผกอดเขาแน่นจากด้านหลัง
เธอสารภาพตามตรงทั้งน้ำตาว่า
“ฉันไม่สนหรอกว่า อนาคตพวกเราจะเป็นยังไงถ้าต้องเลิกกันจริงๆ ตราบเท่าที่นายปฏิบัติต่อฉันด้วยความจริงใจในตอนนี้ ไม่ว่าอะไรฉันก็โอเค ฉัน…ฉันคิดว่า…ฉันรักนายเข้าแล้วจริงๆ อย่าไปไหนเลยนะ…ชีวิตฉันขาดนายไม่ได้แล้ว!”
จ้าวเฉียนหันกลับมาสวมกอดเธอตอบในอ้อมแขน พลางกล่าวปลอบขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเตรียมใจให้ดี ผมมีทั้งอุดมการณ์และความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง คงไม่มีเวลาไปไหนมาไหนกับคุณตลอดแบบในหนังรักหรอกนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย…ฉันไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้นอยู่แล้ว สุภาพบุรุษต้องให้ความสำคัญกับการงานก่อนเสมอ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ”
เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบกลับไป
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว
ภายใต้บรรยากาศแสนอึดอัดแบบนี้ เหลียวเซียวหยุนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างเขินอายว่า
“แล้ว…แล้วตอนนี้…พวกเราถือว่า…เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ
“ใช่ ตอนนี้ถือว่าพวกเราคบกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นขอใช้สิทธิ์ของการเป็นแฟนเลยก็แล้วกัน”
เหลียวเซียวหยุนก้มหน้าก้มตาทันทีด้วยความเขินอายสุดขีด เธอรู้ได้ทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหมายความว่าอะไรอยู่
“อืม…ก็ได้นะ แต่…แต่มันจะดีเหรอ? พวกเราเพิ่งคบกันเองนะ จะพัฒนาความสัมพันธ์เร็วเกินไปไหม?”
จ้าวเฉียนยิ้มและพาเหลียวเซียวหยุนกลับเข้าโรงแรมตงไห่เพื่อเปิดห้องทันที
เหลียวเซียวหยุนรู้สึกประหม่าอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้จ้าวเฉียนฉุดดึงไปราวกับหุ้นไม้ไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ ทันทีที่เข้าไปในห้องพัก เธอก็ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนทันที
อันที่จริงจ้าวเฉียนไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเธอเลยสักนิด เขานอนเล่นบนเตียงพลางหยิบมือถือขึ้นมาเล่น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ผล็อยหลับไป
หลังจากนั้นไม่นานนัก เหลียวเซียวหยุนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แงมประตูเหลือบมองอย่างเงียบๆ แต่พอเห็นว่าจ้าวเฉียนหลับไปแล้ว เธอก็พลันรู้สึกโล่งจำ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้อยู่กับคนที่ชอบแบบสองต่อสอง เหลียวเซียวหยุนทั้งประหม่าทำอะไรไม่ถูกและอยากรู้อยากเห็นในเวลาเดียวกัน เธอค่อยๆขึ้นเตียงนอนซุกอยู่ข้างๆจ้าวเฉียนด้วยความเขินอาย แอบฟังเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้น เฝ้ามองจ้าวเฉียนนอนหลับอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของจ้าวเฉียนพลันดังขึ้นมา ปลุกให้เหลียวเซียวหยุนสะดุ้งดีดเด้งขึ้นมาจากเตียงทั้งทีด้วยความเก้อเขิน
จ้าวเฉียนหันไปมองเธอเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้ และหยิบมือถือขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นเหลียวปี้เอ๋อร์โทรเข้ามา
“ป้าเธอโทรมา เงียบไว้นะ”
เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบรัวๆ และยกมือสงสัญญาโอเคให้
“ไม่ต้องห่วง เงียบสนิทแน่นอน”
จ้าวเฉียนรับสายและเอ่ยทักทายขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณเหลียว มีอะไรครับผม?”
“ฉันตัดสินใจแล้วว่า จะลองทำตามคำแนะนำของนายดู พรุ่งนี้นัดหมายมาคุยกันเรื่องรายละเอียดอีกทีแล้วกัน”
“โอเคครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนสิบโมง ผมจะเดินทางไปหาที่บริษัทคุณเอง”
“อืม แล้วก็นะ…เซียวหยุนกลับรึยัง? เธอยังเด็กอยู่นะ อย่าเอาเปรียบเธอเด็ดขาด”
“ผมทราบครับ ผมไม่คิดล่วงเกินเธอแน่นอน”
เหลียวปี้เอ๋อร์วางสายลงพร้อมเสียงอืม
เปิดห้องโรงแรมกันขนาดนี้ ใครจะกล้าบอกกัน?
จ้าวเฉียนโยนมือถือทิ้งบนโซฟา และกระดิกนิ้วเรียกให้เหลียวเซียวหยุนมาทางนี้