ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่264 ผมต้องกลับมารับมรดกล้านล้านหยวนจริงเหรอเนี่ย
ตอนที่264 ผมต้องกลับมารับมรดกล้านล้านหยวนจริงเหรอเนี่ย
เมื่อเห็นสีหน้าของหวานเจียงดกูไม่มีความสุขนัก จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
หวานเจียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งและเล่าเรื่องงบประมาณของเฟิงเต๋อให้จ้าวเฉียนฟัง
ในความคิดของจ้าวเฉียนนี่ถือเป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดนี้มันคือหนังที่เกี่ยวข้องกับรถแข่ง จำเป็นต้องเช่าสนามแข่งรถจริงและขับแข่งมืออาชีพตัวจริงเสียงจริงมาเล่นฉากหวาดเสียว ยิ่งไปกว่านั้นจำเป็นต้องจ้างคนประกอบฉากเข้ามาเป็นผู้ชมในสนามอีก นี่ยังไม่รวมถึงทีมแพทย์ที่ต้องจ้างมาดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นราคาทุนการถ่ายทำจึงสูง
ตราบเท่าที่เฟิงเต๋อไม่ได้นำเงินไปใช้จ่ายตามอำเภอใจ และทุ่มทุนทั้งหมดลงในตัวหนัง ก็ถือว่าคุ้มค่า
หวานเจียงเหลือบมองจ้าวเฉียนท่าทีเงียบงัน เธอเอ่ยตอบไปว่า
“ก็บ้านนายอย่างกับเหมืองเพชรหนิ จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ซึ่งงบประมาณของโปรเจคนี้ทีแรกก็ตั้งไว้แค่300ล้าน หวังเข้าบ็อกซ์ออฟฟิศกวาดรายได้มาสัก700ล้าน หหักลบกลบหนี้ก็ยังทำกำไรได้ประมาณหนึ่ง แต่นี่เพิ่งถ่ายได้ไม่ทันไรงบจะทะลุ400ล้านแล้ว นั้นหมายความว่า ถ้าเรายังต้องการทำกำไรในอัตราเท่าเดิม หนังเราจะต้องทำเงินได้เกินกว่าพันล้าน นายคงรู้ใช่ไหมว่า มีหนังแค่กี่เรื่องเองที่สามารถทำกำไรได้ระดับนั้น?”
หวานเจียงคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะบริษัทของเธอเน้นสนใจเพียงแค่การฉายหนังในโรงภาพยนตร์ หรือก็คือเน้นทำกำไรจากบ็อกซ์ออฟฟิศเท่านั้น ในหัวของเธอจึงคิดว่าช่องทางทำเงินมีเพียงทางเดียว
แต่วิสัยทัศน์ของจ้าวเฉียนกว้างไกลกว่านั้น รายได้จากการฉายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การถ่ายหนังสักเรื่องก็ไม่ต่างอะไรจากการสร้างสินค้ามูลค่าสูงชิ้นหนึ่งหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งเราสามารถนำไปต่อยอดต่อได้โดยการ ขายลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายเพื่อแปรรูปสินค้า เช่นของที่ระลึก ของเล่น รวมไปถึงการขายลิขสิทธิ์ให้ค่ายอื่นไปทำพเป็นซีรีย์ต่อ เป็นต้น
ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากเงินลงทุนกว่า400ล้านหยวน แม้ว่ารายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศจะได้มาเพียงร้อยล้าน แต่นี่ถือว่ายังไม่ขาดทุน เนื่องจากพวกเขายังมีลิขสิทธิ์ของตัวหนังอยู่ในมือ และยังสามารถนำหนังเรื่องนี้ไปออกอากาศในสื่อออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตได้ในรูปแบบของสมาชิกแพลตฟอร์มระดับVIPเท่านั้น ก็ว่ากันไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถนำหนังเรื่องนี้บุกตลาดต่างประเทศก็ได้ด้วย
ตราบใดที่ยังมีลิขสิทธิ์อยู่ในมือ สักวันหนึ่งย่อมสามารถเรียกทุนคืนกลับมาได้เสมอ เพียงว่าภาพยนตร์บางเรื่องอาจไม่ตรงกับกระแสความนิยมในปัจจุบันและต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่ไม่ว่าจะกรณีใด การลงทุนในวงการภาพยนตร์ก็ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน ดีไม่ดีถ้าเกิดหนังดังเป็นพลุแตก อาจคืนทุนได้ภายในชั่วข้ามคืน
หวานเจียงหลอกตามองบนไม่พูดไม่จา เหตุผลที่จ้าวเฉียนกล้าที่จะรุกหน้าขนาดนี้เป็นเพราะเขามีเงินใช้ไม่ขาดมือ มันก็ถูกของเขาที่มันจะคืนทุนในสักวัน แต่ถ้าหนังมันไม่เป็นกระแสขึ้นมาอาจต้องใช้เวลาถึงหลายปีหรือนานกว่านั้น แล้วระหว่างฮวาหยินกรุ๊ปจะเอาเงินที่ไหนมาหมุน?
จ้าวเฉียนเข้าใจหมายความของหวานเจียงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บังคับเธอว่าครวรจะเลือกทางใด นักลงทุนแต่ละคนล้วนมีปรัชญาทางธุรกิจเฉพาะบุคคล
แต่เพื่อปัดเป่าความกังวลของหวานเจียง จ้าวเฉียนจึงปลอบเธอไปว่า
“เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันขอใช้บริษัทเฉียนเก๋อเป็นประกันว่า รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศของหนังเรื่องนี้ต้องไม่น้อยกว่าพันล้าน ถ้าไม่ถึงยอดที่กำหนด ฉันจะจ่ายส่วนที่เสียไปให้เอง โอเคไหม?”
หวานเจียงหัวเราะขึ้นทันที โอบแขนจ้าวเฉียนและกล่าวน้ำเสียงเย็นตอบไปว่า
“ในเมื่อนายพูดมาขนาดนี้ รายได้เปิดตัวต้อง1.5พันล้านเป็นอย่างต่ำ ถ้ามากกว่า1.5พันล้าน ฉันแบ่งให้นายเจ็ดในสิบส่วนเลย ฉันของแค่สามส่วนพอ แต่ถ้าน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เจ็ดส่วนต้องเป็นของฉัน ว่าไงล่ะ?”
จ้าวเฉียนกลอกตาแวบหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังหันกลับมายิ้ม ยื่นหน้าเข้าชิดใกล้หวานเจียงและกล่าวขึ้นว่า
“นี่เธอเห็นฉันโง่รึเปล่า? ถ้าอนาคตต่อไปฉันแต่งงานกับเธอจริงๆ เงินของฉันก็เป็นของเธอ ส่วนเงินของเธอก็เป็นของฉัน เราถือว่าใช้กระเป๋าเงินเดียวกัน ใครได้เท่าไหร่มันก็ไม่ต่างกันเลย ดังนั้นถ้าเธอเอาเจ็ดส่วนไปตั้งแต่ตอนนี้ เธอก็ต้องนำส่วนดังกล่าวไปแจกจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้น นั่นไม่เท่ากับว่าปล่อยเงินให้ไหลออกจากกระเป๋าโดยเปล่าหรอกเหรอ? เธอลองคำนวณให้ดีดกูก่อนว่าที่พูดไปมันจริงไหม?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปแบบนั้น หวานเจียงก็เพิ่งตระหนักได้ว่ามันเป็นความจริงและสมเหตุสมผลอย่างมาก หากเธอแต่งงานกับจ้าวเฉียนในอนาคต เงินที่เธอได้รับในวันนี้ก็คือของเธอไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้นไม่มีใครทำเรื่องโง่ๆ อย่างการเอาเงินไปประเคนให้คนอื่นแน่นอน
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องรับประกันอะไรหรอก บางทีสถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด”
หวานเจียงพูดน้ำเสียงหนักแน่น
จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้วไม่กลัวหนังขาดทุนแล้วเหรอ?”
หวานเจียงรีบตอบกลับไปทันที
“ห่ะ! แล้วจะปล่อยให้ขาดทุนทำไมล่ะ! ที่ฉันยพูดไปแบบนั้นเพราะตอนนี้ฉันไม่กลัวแล้ว ยังไงซะฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียว มีนายอยู่ทั้งคน ถ้าขาดทุนจริงนายเองก็พลอยเสียเงินไปด้วยนั่นแหละ!”
จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก โอบกอดหวานเจียงในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเขาก็จำเรื่องตลกเรื่องนึงขึ้นมาได้ โดยเล่าให้เธอฟังไปว่า มีชายชราอยู่คนหนึ่งที่เป็นหนี้อยู่ก้อนโต สุดท้ายก็จปัญญาหาเงินมาใช้ เลยต้องขายลูกสาวเพื่อชำระหนี้สินไป หลังจากที่ลูกสาวแต่งงานกับชายคนนั้น คืนหนึ่งเธอก็ตื่นขึ้นมาและกล่าวกับสามีว่า
“เราต้องรีบไปทวงเงินจากพ่อ อย่าปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
แม้ว่านี่จะฟังดูเป็นเรื่องตลกร้าย แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันค่อนข้างเหมือนกับตัวหวานเจียงจริงๆ หนี้ก้อนโตของชายชราคนนั้นก็คือบุญคุณค่ารักษาการเชิญทีมศัลยแพทย์ให้มาช่วยชีวิต และการทวงหนี้ก็คือการที่จ้าวเฉียนเข้ามาควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปนั่นเอง
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานพักหนึ่ง หวานเจียงก็พูดขึ้นมาว่า
“จะว่าไปเราไปดูกองถ่ายกันหน่อยดีไหม? บังเอิญว่าพวกเขามีฉากที่ต้องถ่ายที่สนามแข่งหยานจิ้งพอดี?”
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นได้ ด้านครอบครัวจ้าวเฉียนน่าจะเตรียมดินเนอร์ชุดใหญ่รอพวกเขากลับมาแล้ว และนี่เป็นมื้ออาหารที่สำคัญอย่างยิ่ง จ้าวเฉียนจึงแนะนำให้ไปเยี่ยมชมกองถ่ายพรุ่งนี้จะดีกว่า
หวานเจียงพยักหน้าตอบและยืนขึ้นพร้อมพูดว่า
“งั้นไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้ทุกคนรอกันเลย”
จ้าวเฉียนพยักหน้า ลุกขึ้นแบกของและพาหวานเจียงกลับบ้าน
พอทั้งสองกลับถึงบ้าน อาหารเย็นก็พร้อมได้ที่แล้ว งานเลี้ยงในคืนนั้นจัดขึ้นที่ห้องปาร์ตี้ภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าว และทุกคนในครอบครัวต่างใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งนี่จะเห็นได้ว่าทุกคนต่างรักใคร่หยางเจียงมากแค่ไหน พวกเขาพอใจกับเธอคนนี้จริงๆ และหวังว่าเธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจ้าวจริงๆ ในอนาคต
หวานเจียงยิ้มและหันมากล่าวกับอวีกุ้ยเฟิงว่า
“คุณแม่จ้าวเฉียนค่ะ พวกคุณแต่ละคนล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น หนูรู้สึกประหม่าจริงๆ ค่ะ ถ้าหากในอนาคตหนูเกิดไม่ได้แต่งงานกับจ้าวเฉียนจริงๆ หนูจะไม่ลืมงานเลี้ยงในคืนนี้ไปตลอดชีวิตเลยค่ะ หนูมีความสุขจริงๆ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
อวี้กุ้ยเฟิงหัวเราะพลางตอบไปว่า
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องยิ่งพยายามปรับตัวเข้ากับจ้าวเฉียนให้ได้ ทั้งสวยทั้งมีความสามารถอย่างเธอ ฉันไม่อยากปล่อยให้หลุดมือเลยจริงๆ ถ้าเธอ…สามารถมีหลายนให้ฉันได้ ฉันกับสามีจะจัดงานแต่งงานให้พวกเธอทั้งคู่ทันที”
หวานเจียงเธอเป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจในสิ่งที่อวีกุ้ยเฟิงพยายามจะสื่อถึง ตราบเท่าที่เธอสามารถตั้งครรภ์และมีลูกให้กับตระกูลจ้าวได้ ทั้งจ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงจะต้องจับเธอมาแต่งงานกับจ้าวเฉียนในทันทีทันใด
ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นเคล็ดลับทั่วไปของบรรดาหญิงสาวที่ต้องการแต่งเข้าตระกูลร่ำรวย เป็นวิธีรวบหัวรวบหางที่ทั้งเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม หวานเจียงไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป เธอรู้สึกรังเกียจอย่างมากหากต้องใช้วิธีต่ำทรามแบบนี้ เพื่อพาตัวเองเข้าตระกูลใหญ่ เธอจึงแสร้งปั้นหน้าทำเป็นไม่เข้าใจและยิ้มตอบไปว่า
“หนูก็หวังแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ไปฉลองกับคนอื่นๆ ต่อกันเถอะค่ะ ฮ่าฮ่า…”
อวีกุ้ยเฟิงยิ้มตอบและเดินออกไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็กลับไปนั่งที่ประจำของตัวเอง ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว พวกเขากำลังรอให้จ้าวฝู่ออกมาให้พรสำหรับวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้
ไม่กี่นาทีต่อมา จ้าวฝู่ก็เข็นชายชราออกมาพบปะ ทุกคนรีบลุกขึ้นกล่าวทักทายและอวยพรทั้งสองอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฉียนรีบก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อไปกอดทันที และเข้ามาเข็นรถเข็นของคุณปู่แทนพ่อของเขา
เมื่อพาคุณปู่นั่งลงที่หัวโต๊ะ จ้าวฝู่ก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังและกล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะทุกคน นั่งลงเถอะ วันนี้เป็นงานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปี อีกทั้งยังเป็นงานเลี้ยงต้อนรับหวานเจียงอีกด้วย!”
หลังจากพูดจบจ้าวฝู่ถึงจะนั่งลง ยามนั้นคนอื่นๆ ถึงจะกล้านั่งลงตาม
เป็นเวลานานมากแล้วที่จ้าวเฉียนไม่ได้พบกับคุณปู่ นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญกับเขาอย่างยิ่งในชีวิต เขาไม่สนใจเรื่องกินดื่มแม้สักนิด แต่บรรจงป้อนข้าวคุณปู่เขาอย่างยิ้มแย้ม เนื่องจากพอแก่ตัวลงมือไม้ก็อ่อนแอลงไปด้วย จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนอยู่ตลอด ซึ่งจ้าวเฉียนก็เข้ามาทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม
จ้าวฝู่ที่เห็นแบบนั้นก็ค่อนข้างพอใจในตัวจ้าวเฉียนอย่างมาก เขายิ้มถามขึ้นว่า
“จ้าวเฉียน ถ้าแกอยากจะกลับมารับสืบทอดธุรกิจที่บ้านเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมต้อนรับแกทุกเมื่อ”
จ้าวเฉียนวางช้อนลงบนจานทันที และหันกลับมาเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจังว่า
“พ่อ อย่าบังคับผมแบบนี้สิ ยังไงก็ตามธุรกิจที่ผมก่อร่างสร้างขึ้นมากับมือก็กำลังไปได้สวย ส่วนเวลานี้ ผมอยากดูแลคุณปู่ให้ดีที่สุดก่อน จริงไหมครับปู่?”
คุณปู่หัวเราะขึ้นทันทีและตอบว่า
“ใช่ ใช่ ใช่…ไอ้ฝู่แกก็อย่าไปบังคับหลานมันมาก ออกไปล้มลุกคุกคลานให้พอใจ แล้วค่อยกลับมารับช่วงต่อก็ไม่สาย”
จ้าวเฉียนที่ได้ยินดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง คุณปู่พูดราวกับว่า เขาทำอะไรไม่ได้ ลองบริหารธุรกิจเล่นๆ จนพอใจค่อยกลับมาอย่างใดอย่างนั้น
“โถ่ว…ผมเสียใจนะปู่ที่พูดแบบนั้น ถ้าผมทำตามฝันไม่สำเร็จขึ้นมา ผมต้องกลับมารับมรดกล้านล้านหยวนจริงเหรอเนี่ย?”
จ้าวเฉียนถอนหายจใจด้วยความโศกเศร้าอย่างช่วยไม่ได้
ทุกคนต่างพากันหัวเราะกันคิกคัก
หวานเจียงเองก็สุดจะกลั้นขำ หัวเราะไม่หยุดหย่อนจนท้องแข็ง เธอไม่คิดว่านั้นจะใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย