ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่272 ความขับข้องใจระหว่างตระกูลจ้าวและตระกูลหัว
ตอนที่272 ความขับข้องใจระหว่างตระกูลจ้าวและตระกูลหัว
จ้าวเฉียนสังสัญญาณบอกให้พวกบอดี้การ์ดขึ้นรถทันที จากนั้นก็พาเซินซวนขึ้นรถตามไปด้วย ในเวลานี้เองจ้าวเฉียนก็ชักมีดออกจากคอหอยของอีกฝ่าย
หัวเซินซวนเอ่ยถามอย่างใจเย็น ยิ้มสู้เสือว่า
“ไอ้หนุ่ม รู้ไหมว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่? แล้วรู้หรือไม่ว่าจุดจบที่แกได้คืออะไร?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างเฉยเมยและกล่าวตอบไปว่า
“ผมไม่เคยกังวลเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วครับ ดังนั้นคุณหัวก็ไม่ควรมานั่งกังวลแทนคนอื่นเขาแบบนี้ ผมว่ามันน่ารำคาญ”
หัวเซินซวนตอบกลับพร้อมใบหน้าที่แสนจริงจังว่า
“หึ! ฝีปากแกร่งกล้าดีหนิ! สักวันแกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!”
จ้าวเฉียนไม่ต้องการลุมล่ามต่อปากต่อคำกับหัวเซินซวนอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่ปิดปากเงียบเป็นคำตอบ ทว่าพวกบอดี้การ์ดของเขากลับทนไม่ไหวแล้ว ที่ชายแก่คนนี้พูดจาหยาบคายกับคุณชายจ้าว
“นี่ตาแก่ พูดจาแบบนี้กับคุณชายจ้าวได้ยังไง!”
“ถูกต้อง! แกรู้ไหมว่าเขาคือใคร…”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
จ้าวเฉียนกล่าวขัดจังหวะในบัดดล
พวกบอดี้การ์ดเก็บปากเก็บเสียงลงอย่างรวดเร็ว และทุกคนรีบเบนศีรษะหันหน้าหนีออกจากรถ มองหน้าต่างข้างทางไป
เมื่อได้เห็นภาพฉากแบบนี้ ความประจับใจของหัวเซิงซานที่มีต่อจ้าวเฉียนก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเป็นใคร แต่เป็นที่แน่นอนว่า ภูมิหลังของเจ้าหนุ่มนี่ต้องไม่ใช่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเอ่ยปากสั่งบอดี้การ์ดแบบนี้ได้
“ฮ่าฮ่า… เอาล่ะ พวกเรามาเปิดใจคุยกันสักหน่อยดีกว่านะ บอกมาเถอะว่าภูมิหลังของนายเป็นมายังไงกันแน่? คงต้องไม่ใช่ครอบครัวที่ประกอบธุรกิจธรรมดาทั่วไปแน่นอน แล้วทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย?”
หัวเซินซวนยิ้มกล่าว
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบไปว่า
“ฉันแค่ไม่อยากโดนตราหน้าว่า เป็นคนใหญ่คนโตที่ชอบกลั่นแกล้งพวกลูกปลาซิวปลาสร้อยน่ะ ไม่ใช่พวกพึ่งพาความแข็งแกร่งของตระกูลเพื่อจัดการเรื่องส่วนตัว เอาล่ะ พวกนายหยุดรถก่อน ปล่อยตัวคุณหัวลงไปได้แล้ว”
คนขับรถซึ่งเป็นบอดี้การ์ดอักคนพยักหน้าและจอดรถทิ้งไว้ข้างทางทันที หัวเซินซวนยิ้มก่อนจะเดินลงจากรถไป
จ้าวเฉียนเปิดกระจกหน้าต่างลงมาและตะโกนกล่าวไปว่า
“คุณหัว เรื่องความคับข้องใจระหว่างพวกเรา มีอะไรสามารถแก้ไขได้กันอย่างยุติธรรม อย่าใช้วิธีสกปรกลอบกัดกัน ไม่อย่างนั้นตระกูลหัวไม่เหลือซากแน่! นี่ผมถือว่าหวังดีเตือนคุณแล้วนะ! หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าผมใจร้าย!”
หัวซานเซินหัวเราะคำโตและตอบกลับไปทันทีว่า
“พูดจาขี้โม้อวดอ้างดีหนิ! ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะหาหลุมศพดีๆเอง แล้วหลุมศพนั่นต้องเป็นของฉันเช่นกัน! ในเมื่อฉันต้องการที่นั่นก็ไม่มีใครสามารถหยุดฉันได้! คิดจะทำลานตระกูลหัวของฉันอย่างงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
หลังจากพูดจบหัวเซินซวนก็เดินกลับไปทางบ้านตระกูลหัวไป
จ้าวเฉียนโบกมือเชิงสัญญาณให้คนขับกลับบ้านไปต่อ
หัวเซินซวนเดินอยู่ข้างถนนเพียงไม่กี่นาที หัวเซียงชานก็พาคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามารับ พอเห็นว่าคถณปู่กำลังเดินกลับมาก็รับขอให้คนรับใช้หยุดรถจอดรับทันที
“คุณปู่ ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?”
หัวเซินซานเอ่ยถามพร้อมท่าที่แสนประหม่า
หัวเซินซวนส่ายหัวตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไร ฉันปลอดภัยดี พวกเรากลับกันเถอะ”
หัวเซียงชานไม่ต้องการจะกลับไปในเวลานี้ แต่พยายามพากลุ่มบอดี้การ์ดที่ติดตามมาด้วย ไล่ล่าตามจ้าวเฉียนให้ทัน
แต่ทว่าหัวเซินซวนกลับส่ายหัวหยุดไว้เสีย
“อย่าหุนหันพลันแล่นไป เราไม่ควรเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้นจนกว่าจะทราบถึงตัวตนของอีกฝ่าย”
หัวเซินซวนส่ายหัวตอบกลับพร้อมใบหน้าแสนหน้ารังเกียจว่า
“คุณปู่ประเมินอีกฝ่ายสูงเกินไป จะมีสั่งกี่คนในหวานจิ้งที่กล้าต่อสู้กับพวกเราตระกูลหัว? วันนี้มันกล้าบุกมาถึงบ้านของเรา ทำตัวกร่างขนาดนี้ ทุกคนต่างเห็นชัดเจนว่ามันไม่กล้าพวกเราเลยแม้แต่น้อย ถ้าปล่อยเรื่องนี้ให้ลอยนวลไป วันหน้าตระกูลหัวของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
หัวเซินซวนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลานชายตัวเองกล่าวไปก็มีเหตุผลเช่นกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนั่นเป็นใครมาจากไหน แต่แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่ของเมืองหยานจิ้งแน่นอน เพราะเขาหรือแม้แต่พวกหลานๆก็ไม่มีใครคุ้นหน้าเลยสักคน ดังนั้นไม่มีอะไรจะต้องกลัวมันเลย
ดังนั้นหัวเซินซวนจึงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“งั้นก็ไปเถอะ แต่ระวังตัวด้วย อย่าให้กลายมาเป็นเรื่องใหญ่ ทางที่ดีทำอะไรเงียบๆไว้ก่อน”
หัวเซยงชานคลี่ยิ้มกว้างในทันที ทุบอกไปทีหนึ่งเพิ่มเสริมความมั่นใจให้คุณปู่และกล่าวขึ้นว่า
“คุณปู่ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฉันจะแก้แค้นสิ่งที่มันทำกับคุณปู่ให้สาสม และเก็บงานไม่ให้เหลือหลักฐานเลย!”
พอได้รับอนุญาตจาทกคุณปู่ของเขา หัวเซียงชานก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว และออกไล่ตามจ้าวเฉียนไปทันที
แต่จ้าวเฉียนฉีกระยะห่างไปไกลกว่าสองสามแยกใหญ่แล้ว ผนวกกับไฟแดงที่ต้องรอในแต่ละแยก ระยะทางยิ่งฉีกออกจากกัน ผลสุดท้ายพวกเขาจำต้องเลิกไล่ตามอย่างจนใจ
แต่หัวเซียงชานโกรธเกินกว่าจะหยุดอยู่แค่นี้ ดังนั้นเขาจึงไปเรียกหู่เปาซานมาและให้นำทางไปที่หลุมศพของคุณย่าของจ้าวเฉียน
หลานชายคนนี้ถูกเลี้ยงดูจนเสียคน ไร้ซึ่งบรรทัดฐานมารยาท สั่งให้พวกบอดี้การ์ดทุบป้ายหลุมศพและขุดโลงศพของคุณย่าจ้าวเฉียนออกมาโยนทิ้งโดยตรง
หู่เปาซานรีบหยุดอีกฝ่ายทันทีและกล่าวขึ้นว่า
“คุณชายหัว เราไม่ควรทำเรื่องผิดประเพณีแบบนี้นะครับ สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายเป็นเพียงคนตาย เราไม่ควรทำตัวหยาบคายแบบนี้”
หัวเซียงชานระเบิดหัวเราะเสียงดังและตอบกลับไปว่า
“คุณหู่ คุณนี่มันใจเสาะเกินไปนะ ฉันไม่เคยกลัวใครและไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร! พวกนาย! ทำลายอย่าให้เหลือ!”
จากนั้นพวกบอดี้การ์ดก็หยิบค้อนขนาดใหญ่หวดเข้าใส่ป้ายหินหลุมศพของคุณย่าจ้าวเฉียนอย่างแรงจะแตกละเอียด
ภายในใจลึกๆของหู่เปาซานได้แต่กรนด่าสาปแช่งการกระทำของหัวเซียงชาน เขาทนกับพฤตกรรมแบบนี้ไม่ได้จริงๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาไม่มองจนอีกฝ่ายทุบเสร็จสิ้น
หัวเซียนซานยังจงใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้บนที่เกิดเหตุ เพื่อระบุอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นฝีมือของหัวเซียนซาน
หลังจากจ้าวเฉียนกลับถึงบ้าน เขาพลันกังวลว่าพวกตระกูลหัวจะวกกลับมาทำลายหลุมศพคุณย่า ดังนั้นเขาจึงสั่งการให้บอดี้การ์ดทั้งสิบคนออกไปเฝ้าสุสานทันที
“พวกนายทั้งสิบคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ช่วยกันเฝ้าสุสานไม่ให้ใครเข้ามารุกล้ำไปได้โดยเด็ดขาด ฉันจะให้ค่าแรงวันละหนึ่งพันหยวน ตกลงไหม?”
ทั้งสิบคนพยักหน้ารับคำสั่งทันที
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและจัดแจงแบ่งกลุ่มให้พวกเขา รวมไปถึงจัดแจงอุปกรณ์กางเต้นท์ ก่อนจะกระจายตัวออกไป
จ้าวเฉียนเดินเข้าคฤหาสน์มาหาพ่อของเขา
จ้าวฝู่ที่เห็นว่าลูกชายตัวเองกลับมาแล้ว ก็รีบวิ่งไปถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง? อีกฝ่ายมันเป็นใครกัน?”
“ตระกูลหัว”
จ้าวเฉียนกล่าวตอบน้ำเสียงเย็น
จ้าวฝู่เผยสีหน้าแสนดูถูกออกมาในบัดดล เขายิ้มและกล่าวต่อว่า
“สมแล้วที่เป็นตระกูลรนักเลงเก่า ทำอะไรไร้มารยาทสิ้นดี! แล้วมันพูดอะไรกับแกบ้าง?”
จ้าวเฉียนเผยรอยยิ้มแสนดูถูกออกมาเช่นกัน และตอบกลับไปว่า
“ทัศนคติของพวกมันค่อนข้างแข็งกระด้างมาก แถมยังขู่ใช้ความรุนแรงอีก ดีที่ผมคว้าหัวเซินซวงเป็นตัวประกันไว้ได้และหนีออกมาก่อน ผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆแน่นอน”
จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่น อันที่จริงเขาเองก็ต้องการกำจัดตระกูลหัวไปนานแล้ว ในสมัยที่หัวเซียงตงย้ายจากเมืองตงไห่มายังเมืองหยานจิ้ง มันก็พยายามเข้ามายึดธุรกิจท่าเรือของตระกูลจ้าวเฉียนเช่นกัน แต่ตอนนั้น คุณปู่ของจ้าวเฉียนได้ส่งลูกเรือกว่า500นายไปปิดล้อมโกดังสินค้าของตระกูลหัวไว้เป็นเวลาสามวันสามคืน ก่อนที่หัวเซียงตงจะหนีหัวซุกหัวซุนออกไป
ต่อมาหัวเซียงตงอาศัยเส้นสายที่มีร่วมมือกับบริษัทเล็กๆแห่งนี้ที่ดูแลท่าเรือหลายจุดตามเมืองข้างเคือง ก่อนจะได้ขึ้นมาครองอำนาจใหญ่ในเวลาต่อมา
หลายทศวรรษที่ผ่านมา เว้นเสียแต่ธุรกิจการท่าเรือของภาครัฐ ธุรกิจการท่าเรือที่เหลือโดยส่วนใหญ่ถูกแบ่งเป็นของสองตระกูลได้แก่ ท่าเรือของตระกูลจ้าว และท่าเรือของตระกูลหัว
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเดินหมากของตระกูลจ้าวกับตระกูลหัวแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ของฝ่ายตระกูลหัวมักทำอะไรโจ่งแจ้ง ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแซ่หัว
ส่วนคนตระกูลจ้าวโดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่เวลาลงมาทำสิ่งต่างๆ
และแน่นอนว่า ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างสองตระกูลก็ค่อนข้างห่างชั้นกันมาก
ไม่ว่าตระกูลหัวจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกเขาก็เป็นใหญ่แค่ในไม่กี่อุตสาหกรรม กล่าวได้ว่าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากตระกูลจ้าวโดยสิ้นเชิง แค่บริษัทในเครือของจ้าวฝู่ก็สามารถเอาชนะตระกูลหัวได้ขาดลอยแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงบริษัทของบรรดาญาติพี่น้องของตระกูลจ้าว หากนำมามัดรวมกันจะกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
และเพราะแบบนี้เอง ตระกูลจ้าวจึงไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัวตนสู่สาณารณะชนเท่าไหร่นัก
จึงไม่แปลกที่ตระกูลหัวและตระกูลอื่นๆจึงไม่ค่อยรับรู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลจ้าว พวกเขารู้จักแค่บริษัทท่าเรือของตระกูลจ้าวเท่านั้น
จ้าวหรงหรือคุณปู่ของจ้าวเฉียน ดำเนินธุรกิจการท่าเรือมาโดยตลอด เพิ่งจะเป็นยุคของจ้าวฝู่ที่ขยับขยายไปยังอุตสหกรรมอื่นๆ ดังนั้นผู้คนโดยส่วนใหญ่จึงรู้จตักตระกูลจ้าวแค่ผิวเผินเท่านั้น
ความปรารถนาตลอดมาของจ้าวหรงคือ การผนวกรวมธุรกิจท่าเรือของทั้งฝ่ายตระกูลจ้าวและฝ่ายตระกูลหัวให้มารวมกันเป็นหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่จ้าวหรงป่วยเป็นโรคหลอดเลือดใสสมองตีบ ส่งผลทำให้สุภาพของเขาแย่ลงอย่างรวดเร็ว และจำต้องฝังความปรารถนานี้ลงไปใต้ก้นบึ้งของจิตใจ
ทว่าอย่างไร จ้าวฝู่ทราบดีถึงความปรารถนานี้ของคุณพ่อเขาโดยตลอด ซึ่งหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาเองก็พยายามหาโอหาสผนวกธุรกิจท่าเรือของตระกูลหัวเข้ามาร่วมกับตระกูลจ้าว และยังแอบดำเนินแผนการอย่างลับๆมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที
ปัจจุบัน ตระกูลหัวมายั่วยุถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้ นี่มันก็มากเพียงพอแล้วที่ตระกูลจ้าวจะหาเหตุผลมาทำลายตระกูลหัวให้สิ้นซาก