ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่289 สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตอนที่289 สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในเช้าวันถัดมา คำแถลงเนื้อความดังว่า หัวฉีเฉินและหัวเซียงซิ่ว ได้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ทางกฎหมายของประเทศจีนนั้นไม่ได้มีกำหนดอย่างชัดเจนในมาตราดังกล่าว หรือก็คือ ไม่มีการตัดขาดสายสัมพันธ์สถานะทางสายเลือดแบบถูกต้องตามกฎหมาย นอกเหนือจากภาระหน้าที่เลี้ยงดูที่จำเป็นแล้ว ผู้ปกครองมีสิทธิ์ตัดขาดด้านทรัพย์สินหรือไม่ให้ฝ่ายผู้เป็นลูกยุ่งเกี่ยวได้
กล่าวกันตามตรง ที่จ้าวเฉียนต้องการทำแบบนี้ก็เพื่อตัดแหล่งเงินทุนของหัวเซียงซิ่วเท่านั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้เธอตัดขาดจากตระกูลหัวจริงๆ
ทั้งทางตำรวจยังรายงานข่าวเพิ่มเติมอีกว่า หัวเซียงซิ่วจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อโฆษณาเว็บไซต์และสื่อ เพื่อโจมตีบุคคลอื่นจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ใส่ร้ายเจ้าพนักงาน สุดท้ายนี้ตำรวจจึงตัดสินใจส่งคดีของเธอไปยังศาล และรอฟังคำตัดสินอีกทีหนึ่ง
หลังจากนั้นครึ่งเดือน จ้าวเฉียนก็สั่งให้โจวกุ้ยโทรหาตำรวจเพื่อแจ้งข้อหา หัวเซียงซิ่วไม่คืนค่าเงินกู้ตามกำหนด
ตามคำสั่งของจ้าวเฉียน เอกสารสัญญากู้ยืมที่โจวกุ้ยให้หัวเซียวซิ่วเซ็น แม้ดูผิวเผินจะดูเหมือนเอกสารกู้ยืนเงินทั่วไป แต่ถ้าอ่านให้ดีจะมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์อยู่ท้ายล่างเอกสาร โดยระบุว่าผู้กู้ยืมไม่สามารถจ่ายชำระเองได้ ต้องเป็นตระกูลหัวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบและแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โจวกุ้ยยื่นเอกสารสัญญาให้ตำรวจดูก่อนจะดำเนินการในทันที
ในไม่ช้าพวกตำรวจก็พาโจวกุ้ยเดินทางไปหาหัวฉีเฉิน และแสดงหนังสือเอกสารสัญญากู้ยืมเงินให้เขากู
หัวฉีเฉินที่เห็นก็ถึงกับตกใจ เงินกู้ทั้งหมดจำนวนห้าล้าน มีดอกเบี้ย5%ต่อวัน ใครบ้าไปเซ็นกัน? เขาเอ่ยตอบทันทีว่า
“นี่มันเงินกู้นอกระบบ ถือว่าผิดกฎหมาย เราไม่มีทางจ่ายคืนแน่นอน!”
โจวกุ้ยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณหัวเกรงว่า คุณนั้นแหละที่กำลังทำผิดกฎหมาย ตามข้อกฎหมายแล้ว ผมมีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยในอัตรา24%ต่อปี ถ้าตัดเรื่องผิดกฎหมายไป ยังไงคุณก็ต้องจ่ายดอกให้เรา24%บวกกับเงินต้นคืนมา”
หัวฉีเฉินที่ได้ยินถึงกับไร้หนทาง ตามกฎหมายแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แน่นอนว่าตระกูลหัวมีปัญญาจ่ายเงินในส่วนนี้อยู่แล้ว แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ หัวฉีเฉินประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ตนตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเซียงซิ่วไปแล้ว ถ้ายอมจ่ายชำระค่าเงินกู้ให้แทนในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าเขายังคงแอบช่วยเซียงซิ่วลับหลังอยู่ และถ้าจ้าวเฉียนกับหลินเซียะรู้เข้า จะมีหน้าไปอธิบายได้ยังไง?
หวังฉีเฉินที่ตกอยู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็เลยพาโจวกุ้ยและพวกตำรวจเข้ามาหาหัวเซินซวน และกล่าวรายงานเรื่องที่เกิดขี้นสั้นๆให้ฟัง
หัวเซินซวนสะบัดมือทันที คำรามลั่นด้วยความโกรธว่า
“ไอ้เด็กนี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ! บังอาจอ้างชื่อตระกูลหัวไปเซ็นเงินกู้โดยที่ไม่บอกพวกเรา! ฉันเคยบอกแกแล้วไง! ว่าอย่าส่งลูกไปอยู่ต่างประเทศ! แล้วเป็นยังไงล่ะ! เอาแต่ใจจนเสียนิสัย! ไอ้เด็กคนนี้มันโง่จริงๆ!”
หัวฉีเฉินรีบกล่าวปลอบประโลมทันทีว่า
“พ่อ นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้ รับตัดสินใจก่อนเถอะครับว่าจะเอายังไง!”
“หื้ม? มีอะไรต้องตัดสินใจงั้นเหรอ? ในเมื่อเธอก่อปัญหา เธอก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอง! ตระกูลหัวของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป ดังนั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายหนี้แทนเธอ!”
หัวเซินซวนตะคอกสวน
โจวกุ้ยไม่สนใจเรื่องระหว่างคนในครอบครัวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อหัวเซียงซิ่วได้ลงนามตามข้อตกลงที่ระบุไว้ชัดเจน เขาก็มีสิทธิ์ล้ำเส้นเข้ามาในตระกูลหัวเพื่อทวงคืนเงินกู้ของเขา ดังนั้นถ้าตระกูลหัวจงใจไม่จ่ายหนี้ก้อนนี้ เขาก็จะเดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องหัวเซียงซิ่วทันที
หัวเซินซวนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวตอบไปว่า
“เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหัวของฉันแล้ว จะฟ้องก็ฟ้องไปเถอะ พวกเราไม่สน”
โจวกุ้ยยังคงยิ้มกล่าวต่อว่า
“คุณหัวลองตรวจสอบเอกสารสัญญาฉบับนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ เธอใช้ที่ดินบ้านสองหลังในชื่อของตัวเองเพื่อค้ำประกันไว้ แถมยังมีหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหัวอีกหนึ่งส่วน จะยอมเสียไปทั้งแบบนี้เหรอครับ?”
หัวเซินซวนรีบคว้าเอกสารสัญญามาตรวจสอบโดยละเอียดทันที ปรากฎว่าสิ่งของค้ำประกันเป็นอย่างที่โจวกุ้ยว่าไว้จริงๆ
เซียงซิ่วค้ำบ้านไว้สองหลัง และที่สำคัญที่สุดคือหุ้นอีกหนึ่งส่วนซึ่งนี่มีมูลค่ากว่าหลายสิบล้าน
หากศาลนำสิ่งของเหล่านี้ไปประมูลและขายทอดตลาด ราคารวมมันเกินห้าล้านแน่นอน และตามกฎหมายแล้ว เงินเหลือเท่าไหร่จากที่ชำระกรรมสิทธิ์การจัดการจะเป็นของเจ้าหนี้ไปโดยปริยาย
ในเวลานี้เอง จ้าวเฉียนก็โทรหาหัวเซินซวน
หัวเซินซวนรีบเดินออกไปมุมหนึ่งและรับโทรศัพท์กล่าวทักทายขึ้นว่า
“ฮาโหลน้องจ้าว มีอะไร?”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ผมได้ยินจากผู้ว่าหลินมา มีคนเอาสัญญาเงินกู้ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อทวงหนี้หัวเซียงซิ่ว ตอนนี้ทางตำรวจคงกำลังไปบ้านของคุณ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงเหรอครับ?”
หัวเซินซวนแอบสบถด่าหลินเซียะอยู่ภายในใจ ไอ้หมอนี่มันปากสว่างจริงๆ นี่เป็นเรื่องราวภายในตระกูลหัว แล้วทำไมมันถึงต้องเอาไปบอกจ้าวเฉียน? ได้ยินแบบนั้นหัวเซินซวนก็ปั้นยิ้มดูงุ่มง่ามตอบไปว่า
“ใช่แล้ว ฉันก็เพิ่งรู้เรื่องนี้แหละ มีอะไรงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นทันตา เขากล่าวเตือนว่า
“โอ้? น่าสนใจนะครับ แต่ผมขอเตือนอะไรคุณไว้สักอย่าง ถ้าตระกูลหัวยื่นมือช่วยเหลือเธอแม้แต่น้อย ก็เท่ากับละเมิดข้อตกลงระหว่างเรา หลานชายของคุณทำลายหลุมศพของคุณย่า หลานสาวของคุณทำลายผมจนเสื่อมเสียชื่อเสียง สังคมตราหน้าผมว่าเป็นฆาตรกร ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังกล้าฝ่าฝืน เตรียมรับผิดชอบได้เลยครับ”
หัวเซินซวนรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูสอดคล่องกันไปหมด พลันคิดแล้วก็แปลกเล็กน้อย แต่อย่างไรเขาก็อธิบายไม่ถูกว่ามันแปลกยังไง เป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของจ้าวเฉียน?
ประการแรกเลย มันเห็นว่าหัวเซียงซิ่วเป็นเด็กสาวหัวนอกอ่อนประสบการณ์ เลยพยายามยั่วยุให้เธอทำทุกวิถีทางเพื่อปลุกระดมประชาชน หวังให้ทางตำรวจเล็งเป้ามาที่ตระกูลหัว และพอตระกูลหัวเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ มันก็พยายามบีบให้ตระกูลหัวขับไล่หัวเซียงซิ่วออกไป จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้เจ้าหนี้เดินทางมาทวงหนี้ พร้อมบังคับให้ตระกูลหัวจ่ายเงิน ซึ่งถ้าจ่ายก็เท่ากับติดกับตามแผนของจ้าวเฉียนในฐานละเมิดสัญญาที่ให้ไว้ แต่ถ้าไม่จ่ายก็เท่ากับติดกับตามแผนของจ้าวเฉียนเช่นกัน ทั้งบ้านสองหลังและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหัวส่วนหนึ่งจะตกอยู่ในมือของตระกูลจ้าว
แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ หัวเซินซวนในฐานะทหารผ่านศึกชำชองประสบการณ์ด้านธุรกิจ ทำไมถึงโดนเด็กเมื่อวานซือต้มซะเปื่อยขนาดนี้ได้?
หัวเซินซวนเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจว่า
“ทั้งหมดนี้…เป็นแผนของแกใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบไปว่า
“คุณหัว พูดเรื่องไร้สาระอะไรกันครับ? จะมากล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้หรอกนะครับ”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราเคยรับมือกับพวกเล่ห์เหลี่ยมเยอะแบบแก! ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว บอกมาซะว่านี่เป็นแผนของแกจริงๆใช่ไหม!? จงใจบีบให้เราตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้!”
จ้าวเฉียนให้คำตอบเอ่ยกลับไปอย่างคลุมเครือยิ่งว่า
“ถ้าคุณบังคับให้ใช่มันก็คงใช่ ถ้าไม่ก็คงไม่แหละครับ แต่ผมไม่สนอยู่แล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของผมเช่นกันที่ผมปั่นหัวคนได้สำเร็จ”
“ฮ่าฮ่า…ดี! ดีจริงๆ! ฉันไม่เคยเจอเด็กหนุ่มคนไหนที่หัวหมอและเลือดเย็นเท่าแกมาก่อนเลย! ทายาทตระกูลจ้าวนี่มันแสบจริงๆ เล่นได้แสบมาก!”
หัวเซินซวนเอ่ยร้องกรนเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ
จ้าวเฉียนยังคงปั้นหน้าไร้เดียงสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใดๆและตอบไปว่า
“ฮ่าฮ่า…ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณหมายความว่าอะไร แต่ผมรู้เพียงแค่ ถ้าตระกูลหัวยื่นมือช่วยเหลือหัวเซียงซิ่วในการชำระหนี้สิน ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ทั้งหมดถือว่าเป็นการละเมิดคำสัญญาระหว่างเรา เมื่อถึงตอนนั้น…ก็อย่าโทษผมแล้วกัน!”
หัวเซินซวนขบฟันกรามแน่นจนสั่นเทา ขนาดมือไม้เองยังสั่นเช่นกัน โดนต้มจนเปื่อยขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ
“ไอ้หนุ่มสกุลจ้าว! แกมันเลือดเย็นเกินไป! กล้ายืมมือกฎหมายรังแกพวกเราสกุลหัว! แกต้องการอะไรกันแน่? บีบเค้นจนกว่าเราจะตายไปข้างเลยรึไง!? คิดจริงๆเหรอว่าพวกเราสกุลหัวง่ายที่จะรังแกขนาดนั้น?”
หัวเซินซวนเค้นเสียงลอดผ่านช่องฟันที่ขบกันแน่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า….รุ่นปู่แล้วยังเอารุ่นเด็กอย่างผมไม่ลงเลย! แล้วตระกูลหัวจะมีปัญญาทำอะไรได้? ไม่ต้องพูดถึงปู่หรือพ่อของผมหรอก แค่ผ่านผมให้ได้ก่อนยังยากเลย! น่าสมเพชจริงๆนะครับที่ต้องโดนเด็กอย่างผมปั่นหัวเล่น ค่อยๆเก็บคนตระกูลหัววันละคนสองคน อีกไม่นานเดี๋ยวก็ทั้งตระกูลเอง! ฮ่าฮ่าฮ่า….”
ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็กดวางสายทิ้งไป ปล่อยให้หัวเซินซวนโกรธจัดจนขวางโทรศัพท์ในมือแตกกระเด็นเป็นเสี่ยงๆ
“มันเกินไปแล้ว! ไอ้หนุ่มสกุลจ้าวมันปีนเกลียวเกินไปแล้ว!!”
หัวเซินซวนแผดเสียงคำรามลั่น ทุบตีข้าวของต่างๆรอบข้างปัดกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถระบายความโกรธภายในใจออกไปได้เลย
อยู่มาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพลาดท่าเสียทีให้กับชายหนุ่มวัยละอ่อน ถ้าเขาตายไปแม้แต่บรรพบุรุษยังไม่กล้าสู้หน้าเลยด้วยซ้ำ!