ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่294 เรียกกำลังพล
ตอนที่294 เรียกกำลังพล
ก่อนการโจมตีครั้งนี้ จ้าวเฉียนได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เขาอธิบายให้หวางอวีจุนและคนอื่นๆอย่างชัดเจนว่า ควรจะต้องอะไรและอย่างไร รวมถึงวิธีการพูด
แต่สำหรับตระกูลหัวนี่ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดและกะทันหันอย่างยิ่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกคนงานจู่ๆจะรวมกลุ่มประท้วง และนัดลาออกพร้อมใจกันแบบนี้
นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว หัวฉีเฉินไม่สามารถอธิบายหรือโต้เถียงหวางอวีจุนใดๆกลับไปได้ เขาทำได้เพียงถ่มวาจาขมขู่ใส่เท่านั้น
“นี่แกกำลังประกาศสงครามกับตระกูลหัวของฉัน นี่คิดดีแล้วใช่ไหม?!”
หัวฉีเฉินขู่คำรามใส่
หวางอวีจุนชี้ไปที่โกดังด้านหลังเขาและยิ้มตอบไปว่า
“คนตระกูลหัวมีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นเหรอครับ? ผมมีนายใหญ่ของท่าเรือเฉียนตงคอยหนุนหลังอยู่ ถ้าคุณกล้าลงมือลงไม้กับผม เตรียมตัวไม่ตายดีได้เลยครับ แถมได้ข่าวมาว่า ตระกูลหัวเพิ่งถูกตำรวจขึ้นบัญชีดำ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าประธานหัวยังเหลือเงาหัวอยู่รึเปล่า?”
หัวเซินซวนที่ได้ยินแบบนั้นก็เดือดจัด คำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า
“นายใหญ่ของแกคือใคร!? ลากมันออกมาคุยกับฉันนี่!”
หวางอวีจุนหัวเราะ ยิ้มตอบกลับไปว่า
“ประธานหัวใกล้จะเกษียณแล้ว อีกไม่กี่ปีคงใกล้จะลงโลง แต่นายใหญ่ของผมยังหนุ่มยังแน่น ไม่มีเวลาเถียงกับคนใกล้ตายหรอกครับ เขายังบอกอีกว่า ฝากเรื่องนี้ให้ผมเป็รนคนรับผิดชอบ ถ้าประธานหัวมีอะไรอยากจะคุย ก็คุยกับผมเลยครับ”
หัวเซินซวนถอนหายใจเย็นพ่นใส่เฮือกใหญ่ กล่าวขึ้นว่า
“อย่างแกน่ะเหรอ? อย่างแกจะคู่ควรกับฉันจริงๆงั้นเหรอ? ไร้สาระ! ไปเรียกนายใหญ่ของแกออกมา!”
รอยยิ้มประดับแช่มบนใบหน้าของหวางอวี่จุนจางหายไปทันที เขากล่าวน้ำเสียงจริงจังตอบไปว่า
“ถ้าประธานหัวพูดแบบนั้น ผมว่าเราคงไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีกแล้ว ถ้าคุณต้องการสู้ พวกเราก็พร้อม! ผมจะสั่งสอนตระกูลหัวให้เป็นบทเรียน ว่าความเย่อหยิ่งมันส่งผลเสียขนาดไหน!”
หลังจากนี้จบ หวางอวี่จุนก็สั่งลูกน้องให้หนยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เขานั่งไขว้ขาต่อหน้าหัวเซินซวนที่กำลังจ้องเขม็งมาทางเขา
ยิ่งโดนยั่วยุหนักข้อขนาดนี้ อย่าว่าแต่หัวเซินซวนเลย แม้แต่พวกสมาชิกตระกูลหัวที่เหลือยังสุดจะทนแล้วเช่นกัน หวางอวีจุนตัวน้อยไร้สถานะศักดิ์คนนี้มันกล้าอวดดีต่อหน้าพวกเขาตระกูลหัวจริงๆ!
หัวเซินซวนคำรามลั่น
“ไประดมคนมาให้หมด! ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่า ไอ้พวกท่าเรือเฉียนตงมันจะแน่สักแค่ไหน!”
หัวฉีเฉินโทรเรียกคนจากแก๊งมาเฟียใต้ดินที่เขารู้จักทันที กล่าวกันพอสังเขป พวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มอันตธานที่ตระกูลหัวเคยดูแลมาก่อน ยามมีปัญหาย่อมต้องมาช่วยเหลืออย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้หัวฉีเฉินยังโทรเรียกพวกคนงานจากท่าเรือตระกูลหัวจากเมืองข้างเคียงมาทั้งหมด ให้รีบมาช่วยเป็นการด่วย
เวลาเที่ยงวัน ทุกคนมารวมตัวที่ท่าเรือตระกูลหัว ณ เมืองหยานจิ้ง กำลังคนเกือบ2,000เห็นจะได้
ดูขากภาพฉากในขณะนี้ดูน่ากลัวเกินจินตนาการ มีคนเกือบ2,000คนนี่มันเป็นจำนวนที่มหาศาลมากจริงๆ
หัวฉีเฉินเอ่ยถามหวางอวี่จุนอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มว่า
“เอาล่ะ ทีนี้แกยังกล้าตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานเพิ่มอีกไหม?”
หวางอวีจุนในตอนนี้หวาดกลัวอย่างมาก เสื้อบริเวณแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่เคยพบเห็นภาพฉากที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
อย่างไรก็ตามแต่ เขายังมีจ้าวเฉียนค่อยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาไม่ยอมถอยไปง่ายๆแน่นอน
และจ้าวเฉียนก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เขาได้อธิบายให้หวางอวี่จุนฟังให้ทราบล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ขอเพียหวางอวี่จุนช่วยยืนหยัดต่อไปอีดกสักนิด แล้วที่เหลือจ้าวเฉียนจะเป็นคนจัดการต่อเอง
อย่างไรก็ตามแต่ ก่อนที่จ้าวเฉียนจะลงมือจัดการต่อ หวางอวี่จุนจำต้องสืบเสาะค้นหาก่อนว่า สมาชิกตระกูลหัวคนใดที่เรียกผู้คนเหล่านี้มา และพวกเขามาจากไหน
หวางอวี่จุนเอ่ยถามขึ้นว่า
“ประธานหัว ไปหาคนพวกนี้มาจากไหนตั้งมากมาย? ก่อนจะลงมือทำอะไรควรบอกกันก่อนดีไหม?”
หัวงเซินซวนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นแต่ไม่ได้พูดอะไร
หัวฉีเฉินยิ้มและอาสาตอบแทนว่า
“ก็ไม่แปลกใจนะที่แกจะมาถามอะไรแบบนี้ ถ้ารู้ว่าพวกนี้เป็นใคร แกจะต้องคุกเข่าขอความเมตตาในทันที ฉันรู้ ตอนนี้แกกำลังหวาดกลัวอยู่ใช่ไหม? สุดท้ายก็ดีแต่ปากอย่างงั้นเหรอ?”
อย่างที่เขาว่า การมีเส้นสายสำคัญกว่าเงินทอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดประโยชน์ได้ในหลากหลายกรณี และนี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญว่าการมีเส้นสายในวงการใต้ดินมันดีอย่างไร
“ฉัน หวั่นหลิวฉี หนึ่งใจเจ็ดเสาหลักแห่งทงโจว พื้นที่ครึ่งหนึ่งของเมืองทงโจวเป็นของฉัน น่าจะมีคุณสมบัติพอข่มขู่แกได้นะ?”
“ฉัน เจี้ยนต้าฟา พี่ใหญ่แห่งเขตห้วยโหรว ที่นั่นไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับฉันแม้แต่คนเดียว!”
หวางอวีจุนรีบยิ้มตอบทันทีว่า
“โอ้? ที่แท้ก็พี่หวั่นแห่งทงโจวกับพี่เจี้ยนแห่งห้วยโหรวนี่เอง พวกเรามีปัญหากับเรื่องธุรกิจท่าเรือ ทำไมพวกพี่ทั้งสองคนถึงต้องมาเกี่ยวพันให้เสียเวลา? ผมรู้จักดาราสาวดาวรุ่งอยู่หลายคน ผมสามารถเชิญให้พวกเธอมาคลายเหงาให้พวกพี่ได้นะครับ ถ้าสนใจก็บอกผมได้”
เจี้ยนต้าฟาแสยะยิ้มเย้ยหยันกล่าวตอบไปว่า
“เก็บเอาไว้กอดเล่นเองเถอะ”
“ฮ่าฮ่า….”
พวกลูกน้องของเจี้ยนต้าฟาระเบิดหัวเราะลั่น
หวางอวี่จุนไม่ได้วางแผนที่จะปะทะกับคนพวกนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อหลอกถามว่าพวกที่ตระกูลหัวเรียกมาเป็นใครมาจากไหนก็เท่านั้น
หวางอวี่จุนยังคงถามต่อไปว่า
“แล้วพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ? ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน?”
“ฉันหยางเหวินซงแห่งต้าซิง ใครจะมาเปิดบาร์เปิดพับที่นั่นล้วนต้องขออนุญาตจากฉันก่อน!”
หวางอวีจุนรีบยิ้มแย้มตอบไปทันที
“ยินดีที่ได้รู้จัก ยินดีที่ได้รู้จัก…”
“ฉัน หวู่ซูฮุ่ยแห่งเฟิงไท่…”
“ฉัน กวนหู่แห่งฟางซาน…”
……….
หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนพวกนี้แล้ว ดูเหมือนว่าบรรดาขั้นอำนาจใหญ่รอบเมืองหยานจิ้งจะมารวมพลกันที่นี่อย่างพร้อมหน้า
หวางอวี่จุนย่อมไม่รู้จักพวกเขาเหล่านี้ และเขาเองก็ไม่ทราบด้วยว่า ไอ้คนพวกนี้พูดความจริงหรือกำลังโม้อยู่ แต่อย่างไรนี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจำต้องพึงกังวล เขามีหน้าที่สืบเสาะว่าคนพวกนี้เป็นใครมาจากไหนเท่านั้น และจ้าวเฉียนจะมาจัดการกับที่เหลือเอง
จ้าวเฉียนตั้งใจฟังบทสนทนาคำแนะนำตัวของคนพวกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของหวางอวี่จุน
จ้าวเฉียนจดชื่อทุกคนรวมไปถึงเขตที่คุมอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถ่ายรูปส่งไปให้หน้าหน้าพ่อบ้านหวังเจ๋อ
หลังจากที่หวังเจ๋อเห็นภาพถ่ายรายชื่อเหล่านี้ เขาก็รีบโทรถามโดยไวว่า
“คุณชายจ้าว เป็นอะไรรึเปล่าครับ? คนพวกนี้มันทำอะไรคุณชายรึเปล่า?!”
จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ฮ่าฮ่า.. ไม่เลย ไม่เลย แต่คนพวกนี้ถูกว่าจ้างมาโดยตระกูลหัว แถมพวกมันก็พร้อมลงมือทำร้ายลูกเรือกับคนของเราแล้ว ช่วยจัดการคนพวกนี้ให้ไปพ้นๆทางทีสิ”
หวังเจ๋อรีบรับคำสั่งและตอบกลับไปว่า
“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะรีบดำเนินการเดี๋ยวนี้เลย ผมขอวางหัวเป็นประกัน ผมจะไล่พวกมันออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด พวกมันไม่กล้ายื่นมือมาช่วยตระกูลหัวแน่นอน”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบด้วยความพึงพอใจว่า
“อืม ฉันจะคอยดู”
“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะรีบจัดการทันที!”
หลังจากหวังเจ๋อพูดจบ เขาก็วางสายและรีบดำเนินการตามที่จ้าวเฉียนสั่งทันที