ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่308 จ้านชุนเล่อเสนอเงื่อนไข
ตอนที่308 จ้านชุนเล่อเสนอเงื่อนไข
เมื่อได้ยินจ้าวเฉียนเอ่ยเองออกจากปากว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับโจวเหว่ยซูเกินเพื่อน จ้านซูวอู่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ในฐานะคนที่เคยไปเรียนและใช้ชีวิตแบบตะวันตก เขาต้องการแสดงความชอบของตัวเองออกไปตรงๆ
จ้าวเฉียนสนทนากับจ้านซูยเหวินสีหน้ายิ้มแย้มดูท่าจะมีความสุขกันดี
ในขณะนั้นเองจ้านซูวอู่จึงขอตัว เดินเข้าไปฝกล้โจวเหว่ยซูอย่างเงียบงัน
ทีแรกจ้านซูวเหวินเธอกังวลว่า พอมีพี่ชายอยู่ตรงหน้าจะเอ่ยถามอะไรไปจะลำบากใจ แต่ตอนนี้เขาออกไปแล้ว จะเอ่ยถามอะไรกับจ้าวเฉียนก็ดูจะง่ายขึ้นเยอะ
“คุณจ้าว ฉันได้ยินมาว่า ในวงการบันเทิงมีกฎต้องห้ามที่ไม่สามารถเอ่ยถามกันได้ จริงไหมค่ะ?”
จ้านซูวเหวินยกมือปัดปอยผมขึ้นทัดหูด้วยความเก้อเขิน ยิ้มหวานทรงเสน่ห์ใส่จ้าวเฉียน
อันที่จริงเธอเพียงต้องการทดสอบจ้าวเฉียนเท่านั้น เพื่อดูว่าศิลปินหญิงภายใต้สังกัดของเขาก็อยู่ภายใต้กฎต้องห้ามที่ไม่สามารถเอ่ยถามได้หรือไม่
สำหรับเรื่องนี้ ในทัศนคติของจ้าวเฉียนมันไม่ได้ดูแย่หรือดี เป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ใช้ในวงการต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่ในวงการบันเทิง แต่ถ้าถามโดยส่วนตัว เขาไม่ชอบใช้อำนาจทำเรื่องอย่างว่า เฉกเช่นบังคับให้ศิลปินหญิงต้องร่วมเตียงกับเขา ถ้าไม่ยอมเขาจะทำลายอนาคตพวกเธออะไรเทือกนั้น
“สำหรับกฎต้องห้ามที่เอ่ยถามกันไม่ได้ มันไม่ได้มีแค่ในวงการบันเทิงหรอกครับ ทุกวงการล้วนมีเหมือนกันหมด ถ้ามีเงินหนาพอก็จ่ายเพื่อเป็นบันไดนำไปสู่ความโด่งดัง ถ้าไม่มีก็แค่ใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนมา แต่สบายใจได้ครับ ศิลปินทุกคนในสังกัดผมไม่ต้องเปลืองตัวทำแบบนั้น ผมไม่เคยบังคับใครให้นอนกับผม เว้นเสียแต่เห็นผมหล่อแล้วคิดสนุก อันนี้ก็อีกเรื่อง เพราะผมไม่กล้าปฏิเสธคำขอของสาวๆ หรอกครับ”
จ้านซูวเหวินปิดปากหัวเราะคิกคักดูน่ารักมาก เธอไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดของจ้าวเฉียนเท่าไหร่ เพราะเธอคิดว่าโลกใบนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนสนใจผู้หญิงสวย ถ้าเขาไม่นอนกับเธอก็ใช่ว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับผู้หญิงคนอื่น ท้ายที่สุดนี้ ยังมีผู้หญิงที่สวยกว่าเธออีกมากมาย ยังไงผู้ชายก็ต้องมีสักครั้งที่อดใจไม่ไหวอยู่ดี
ในอีกด้านหนึ่ง โจวซูวอู่กับโจวเหว่ยซูก็จับกลุ่มคุยกันอยู่เช่นกัน ตั้งแต่ประสบการณ์การเรียนที่ฮาวาร์ด จวบจนไปถึงประสบการณ์ฝึกงานที่วอลล์สตรีท เขาพยายามฝาหาความรู้และขัดเกลาตัวเองขนาดนี้ก็เพื่ออยากสร้างความประทับใจต่อโจวเหว่ยซูทั้งสิ้น
ส่วนความฝันอันยิ่งใหญ่ของโจวเหว่ยซูในปัจจุบันคือการกลายมาเป็นดาราดัง ปกติแล้วเธอมักจะไม่พูดหรือแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาให้คนอื่นรับรู้ สุดท้ายนี้เอง การเป็นดาราไม่ควรมีข่าวฉาวโดยเด็ดขาดเพื่อไม่ให้บรรดาแฟนคลับต้องเสียใจ หลังจากพวกเขาพูดคุยกันได้สักพัก โจวเจียงเฉินและจ้านชุนเล่อก็เดินเข้ามาหาทั้งสี่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
โจวเจียงเฉินเอ่ยถามเสียงดังว่า
“เป็นยังไงกันข้าง หนุ่มๆ สาวๆ คุยกันถึงไหนแล้ว?”
จ้านซูวเหวินรีบตรงเข้ามาพูดกับจ้านชุนเล่อด้วยความตื่นอกตื่นเต้นว่า
“พ่อค่ะ! เดี๋ยวหนูจะออกไปทำงานแล้วนะ พ่อต้องสนับสนุนหนูด้วย!”
ในฐานะที่เป็นถึงประธานบริษัทไชน่าปิโตรเคมี จ้านชุนเล่อไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอยู่แล้ว และการที่ลูกสาววันๆ เอาแต่อยู่บ้านก็เขาเองก็ไม่ค่อยพอใจมานานแล้ว พอได้ยินว่าเธอมีความตั้งใจจะออกไปทำงาน เขาก็นึกดีใจ อย่างน้อยๆ ไอ้ความรู้ที่เขาส่งเธอไปเรียนก็ได้ใช้สักที
“ฮ่าฮ่าฮ่า…แน่นอน แน่นอน! พ่อต้องสนับสนุนแกอยู่แล้ว แต่จะว่าไปลูกอยากทำงานที่ไหน? เผื่อพ่อช่วยอะไรได้บ้าง”
จ้านชุนเล่อเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
จ้านซูวเหวินโพล่งกล่าวขึ้นทันทีทันใดว่า
“คุณชายจ้าวจะให้หนูเซ็นสัญญาในสังกัดค่ายของเขาในฐานะดารา!”
“โอ๊ะ? คุณจ้าวอยากให้ลูกสาวผมเป็นดาราจริงๆ เหรอ?”
จ้านชุนเว่อเอ่ยถามเจือน้ำเสียงเริ่มจริงจังขึ้นมา
สิ่งที่จ้าวเฉียนเสนอไปก่อนหน้าคือ เขาอยากให้จ้านซูวเหวินเป็นสตีมเมอร์คนดังในโลกโซเชียล หรือพวกอินฟูเอนเซอร์คนดังในอนเตอร์เน็ต ไม่ใช่ดารานักแสดง นี่มันคนละความหมายกันเลย
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกไป แต่จ้าวเฉียนยังคงยืนยันคำเดินและกล่าวไปตามจริงว่า
“สิ่งที่คุณหนูจ้านพูดออกไปมันไม่ถูกต้องทั้งหมดครับ สิ่งที่ผมพูดกับเธอไปจริงๆ คือ ผมอยากปั้นคุณหนูจ้านให้เป็นสตีมเมอร์โด่งดังในโลกโซเชียลครับ ตราบใดที่เธอยังคงรักษาภาพลักษณ์และไม่มีประวัติเสีย ผมจะให้เธอเลื่อนให้เธอเดบิวขึ้นเป็นดาราในอนาคตแน่นอนครับ เพราะวิธีนี้ค่อนข้างปลอดภัยกว่าการปั้นขึ้นเป็นดาราโดยตรง เพราะอย่างเลวร้ายที่สุด ถ้าล้มเหลวกับอาชีพดารา ก็ยังกลับมาเป็นสตีมเมอร์ในโซเซียลเหมือนเดิมได้ครับ”
คำว่า ‘สตีมเมอร์บนโลกโซเซียล’ มันดูน่าอายไม่ใช่น้อยเลยเมื่อได้ยิน ดังนั้นจ้านชุนเล่อจึงเอ่ยถามต่อว่า
“อาชีพพวกนี้เขาสามารถทำเงินได้เท่าไหร่ต่อเดือนงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนยกตัวอย่างให้จ้านชุนเล่อฟังสองเคส
เคสแรกคือ หลี่เจียฉี เซเลบชื่อดังที่แจ้งเกิดมาจากการเป็นอินฟูเอ็นเซอร์ขายลิปติก สร้างยอดขายภายในวันเดียวกว่าร้อยล้านหยวนภายในวันเดียว ปัจจุบันเขาคนนี้ซื้อบ้านหรูอยู่กับบรรดาเพื่อนคนดังมากมาย
ส่วนอีกคนแจ้งเกิดจากการสตีมเมอร์เกม จนปัจจุบันจะทะเบียนบริษัทภายใต้ชื่อของตัวเอง มีมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวกว่า120ล้านหยวน แม้จะดูน้อยไปสักนิด แต่อย่างลืมไปว่า เขาคนนี้เริ่มต้นจากศูนย์!
จ้านชุนเล่อที่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอย่างมาก และเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“โว้ว? ทำเงินได้ขนาดนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย?”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ประธานจ้านสามารถตรวจสอบชื่อบุคคลพวกนี้ในอินเตอร์เน็ตได้เลยครับ ส่วนถ้าสนใจยังไง ผมจะให้ประธานจ้านกำหนดเงื่อนไขมาได้เลยว่าสิ่งไหนคุณหนูจ้านทำได้หรือทำไม่ได้ ตราบใดที่เธอไม่เคยมีข่าวฉาวร้ายแรง ทางทีมงานของเราจะทำการล้างประวัติที่ดูไม่ดีทั้งหมดออกไป สุดท้ายนี้ถ้าไม่สามารถปั้นเป็นดาราได้ เธอก็ยังเป็นบุคคลดังในโลกโซเชียลได้”
จ้านชุนเล่อดูค่อนข้างงุนงงเล็กน้อย เขาเอ่ยถามอีกครั้งว่า
“แล้วบริษัทของคุณจ้าวจะทำงานจากช่องทางไหนเหรอครับ?”
“แน่นอนว่าจากสปอนเซอร์ครับ ถ้าคุณหนูจ้านเริ่มมีชื่อเสียง พวกสปอนเซอร์ที่ต้องการตีตลาดจะต้องเข้ามาจ้างงานให้เธอรีวิวสินค้าแน่อน นี่ยังไม่รวมค่าออกงานกับค่าลิขสิทธิ์สินค้าอื่นๆ ที่จะตามมาอีกนะครับ บางทีถ้าเธอดังเป็นพลุแตกแล้ว แค่รีวิวที่กระดาษทิชชู่สักแผ่น ก็ได้มาหลักร้อยล้านแล้วครับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…คุณจ้าวนี่เป็นฉีโร่ของผมจริงๆ! ตอนนี้ลูกสาวผมยังเป็นวัยรุ่น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดแล้วจริงๆ ยังไงก็ต้องรบกวนคุณจ้าวให้ช่วยแล้วครับ ส่วนเรื่องลูกชายของผมก็รบกวนด้วยได้ไหมครับ? เขาอยากเริ่มต้นทำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ พอจะมีอะไรดีๆ แนะนำลูกชายผมบ้างไหมครับ?”
จ้าวเฉียนพนักหน้าและมองย้อนกหลับไปมองจ้านซูวอู่เล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“เรื่องนี้ผมคุยกับคุณชายจ้านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะหาเวลาว่างมาปรึกษาหารือกันครับ ผมมีเส้นสายอยู่ในบริษัทฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ไม่น้อยเลย ผมเชื่อว่าทางนั้นจะต้องให้ความร่วมมือกับคุณชายจ้านเป็นอย่างดีแน่นอน”
เมื่อได้ยินจ้าวเฉียนพูดออกไปแบบนั้น จ้านชุนเล่อก็ระเบิดหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขยิ่ง ลำพังด้วยความสามารถของเขาเอง ไม่มีปัญญาจัดสรรสิ่งที่เหมาะสมให้กับลูกชายกับลูกสาวทั้งสองคนนี้ได้ การที่ได้จ้าวเฉียนมาช่วยในส่วนนี้ถือได้ว่าฟ้ามีตาแล้ว
ที่ว่าไม่มีปัญญาจัดสรร หาใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เป็นเส้นสายในเส้นทางอาชีพที่ลูกๆ ของเขาสนใจกัน อย่างด้านวงการอินฟูเอ็นเซอร์ในโลกโซเซียล เขายังไม่รู้เลยว่าคืออะไรด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เส้นสายในด้านนี้ของเขาก็มีน้อยมาก
พอมีจ้าวเฉียนมาช่วยแบบนี้ เขาก็หมดห่วงเรื่องอนาคตของลูกๆ ลงเยอะ
“คุณจ้าวมาเถอะครับ พวกเราสามคนไปคุยธุระกันดีกว่า”
จ้านชุนเล่อกล่าวเชิญอย่างสุภาพ
จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินตามจ้านชุนเล่อและโจวเจียงเฉินไป ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย
จ้านชุนเล่อไม่อยากเสียเวลาเท่าไหร่นัก จึงเอ่ยเข้าเรื่องไปตามตรงว่า
“คุณจ้าวต้องการยังไงบอกผมมาแลย ผมกับโจวเจียงเฉินเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแกกันมานานแล้ว เขาช่วยคุณผมเองก็ต้องช่วยคุณแน่นอน นอกจากนี้คุณก็เป็นคนใจกว้างมาก ช่วยเบิกลู่ทางในอนาคตให้กับลูกๆ ของผม ถ้าต้องการเงื่อนไขอะไรสามารถเขียนลงไปในสัญญาได้เลยนะครับ ผมจะปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ปฏิเสธ ส่วนเรื่องราคาค่าขนส่งผมจะลดให้อีก5% และจะมอบออเดอร์ทั้งหมดที่มีแก่ท่าเรือเฉียนตงของคุณ ว่ายังไงครับ?”
จ้าวเฉียนตอบเห็นด้วยโดยไม่ลังเล สำหรับส่วนลดที่ว่าเขาเองก็ทราบว่าท่าเรือหัวก็เคยได้ราคานี้เช่นกัน
แต่ยังไงก็ตามแต่ ขอแค่แย่งลูกค้าจากท่าเรือหัวได้ก็เป็นพอ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จ้าวเฉียนไม่นำมาใส่ใจอยู่แล้ว
และเมื่อท่าเรือหัวส้มสลายลง ลูกค้าโดยส่วนใหญ่จะต้องหันมาใช้บริการของท่าเรือเฉียนตงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากน่านน้ำตรงหยานจิ้งเป็นเพียงน่านน้ำเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องทางกฎหมาย ให้สามารถขนส่งผ่านแม่น้ำจีนไปยันต่างประเทศได้ ดังนั้นพอเหลือแค่ท่าเรือเฉียนตง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้บริการ
พอถึงในเวลานั้น อำนาจการเจรจาต่อรองจะตกอยู่กับท่าเรือเฉียนตง พวกลูกค้ารายย่อยจำใจต้องจ่ายราคาค่าบริการเพิ่มโดยไม่สามารถปฏิเสธได้ และนี่คือช่องทางการกำไรในอนาคตได้อย่างมหาศาล
ส่วนลูกค้าใหญ่อย่างบริษัทเมล็ดพืชการาจกับไช่น่าปิโตรเคมี คำนวณยังไงก็ได้กำไรไม่เยอะอยู่แล้ว ที่ดึงทั้งสองเจ้ามาก็เพื่อทำลายท่าเรือหัวให้เหลือแค่ท่าเรือเฉียนตงเพียงแห่งเดียวของน่านน้ำหยานจิ้งเท่านั้น และลูกค้ารายย่อยที่เข้ามาหลังจากนั้นแหละคือตัวทำเงินของจริง
อีกประเด็นสำคัญคือ มีศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์คำหนึ่งว่า ขนาดยิ่งใหญ่ก็ยิ่งประหยัด พูดโดยง่ายคือ ยิ่งสเกลธุรกิจใหญ่เพียงใดราคาต้นทุนก็ยิ่งต่ำลงเท่านั้น
รายจ่ายของท่าเรือเฉียนตงต่อเดือน มีทั้งค่าบิลน้ำมัน เงินเดินลูกเรือ และจิปาถะอีกมากมาย แต่พอออเดอร์สินค้ามากขึ้น ราคาต้นทุนพวกนี้ก็จะลดลงไปโดยปริยายจริงหรือไม่?
ถ้านึกภาพกันไม่ออกก็ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมค่าขนสินค้าต่อหนึ่งรอบสมมุติว่าเท่ากับ100หยวน แต่จำนวนสินค้าในรอบนั้นมีแค่10ชิ้น ต้นทุนก็จะตกชิ้นละ10หยวน แต่ถ้าค่าขนส่งสินค้าเท่าเดิม แต่จำนวนสินค้าในรอบนั้นเพิ่มขึ้นเป็น20ชิ้น ต้นทุนเฉลี่ยก็จะอยู่แค่5หยวนต่อชิ้นเท่านั้น
ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่จ้าวเฉียนจะไม่เอา5%ที่อีกฝ่ายเสนอมาให้?