ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่316 ไม่ต้องมาพบเจอ
ตอนที่316 ไม่ต้องมาพบเจอ
ไม่นานรถของหัวเซียงตงก็เดินทางมาถึงตีนเขาตระกูบจ้าว บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งออกมาหยุดรถทันที
คนขับรีบจอดรถและเปิดกระจกมากล่าวกับบอดี้การ์ดพวกนั้นว่า
“สวัสดีครับ ข้างในรถมีคุณทวดหัวและรองประธานหัวนั่งอยู่ รบกวนแจ้งให้ทางนั้นทราบได้ไหมครับว่า พวกเราต้องการพบกับจ้าวหรง”
บอดี้การ์ดรับปฏิเสธทันทีและกล่าวว่า
“กลับไปซะ คุณชายจ้าวแจ้งกับทางเราล่วงหน้าแล้วว่า พวกตระกูลหัวจะมากันที่นี่และให้พวกเราไล่กลับไปทันที”
หัวฉีเฉินเอ่ยถามแทรกขึ้นทันทีว่า
“คุณชายจ้าวที่ว่าหมายถึงจ้าวเฉียนใช่ไหม?”
บอดี้การณ์กล่าวตอบพร้อมน้พเสียงเคร่งขรึมว่า
“ทางเราไม่สะดวกจะเปิดเผยเรื่องนี้ รบกวนถอยรถกลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นทางเราจะแจ้งตำรวจ”
หัวฉีเฉินที่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก แต่คราวนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อสานสัมพันธ์สร้างสันติกับตระกูลหัว จึงไม่กล้าแสดงอารมณ์เกรี้ยวโกรธออกมา ยามนี้ทำได้เพียงหันไปขอความคิดเห็นจากคุณปู่เท่านั้นว่าจะเอายังไงกันต่อ
หัวเซียงตงค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหมายเลขทีละตัวอย่างแช่มช้า เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชาตินี้ตัวเขาจะต้องโทรหาเบอร์ดังกล่าวอีกครั้ง
หลังจากกดโทรไปได้ไม่นานสายก็ติด เป็นสุ่มเสียงคนชราดังขึ้นจากปลายสาย คนที่หัวเซียงตงกำลังโทรไปหาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากปู่ของจ้าวเฉียน จ้าวหรง
จ้าวหรงกระแอมไอถามขึ้นว่า
“ใคร?”
หัวเซียงตงค่อยๆ ปริปากล่าวตอบไปว่า
“ไอ้เด็กเวร ผ่านไปแค่สามสิบสี่สิบปีจำเสียงฉันไม่ได้แล้วเหรอ?”
จ้าวหรงก็อายุปูนนี้แล้ว พบเจอคนมามากมายเกินจะนึกออก มีหรือที่จะจำจำเสียงของคนที่ไม่ได้พบหน้ากันกว่าทศวรรษได้?
“นั้นใคร? รีบๆ บอกมาเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นทายคำหรอกนะ”
หัวเซียงตงรู้สึกหน่ายใจเล็กน้อยและกล่าวชื่อตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายทราบทันที
จ้านหรงตาสว่างขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถามอย่างรู้ทันว่า
“หัวเซียงตง? โอ้ โอ้…ที่แท้ก็คุณหัวนี่เอง ทำไมจู่ๆ ถึงโทรมาได้ล่ะ? คิดถึงพ่อฉันรึไง? แต่เสียใจด้วยนะ แกโทรมาช้าไปสิบปี ฮ่าฮ่า…”
หัวเซียงตงไม่มีอารมณ์จะมาร่วนเสวนารำลึกความหลังในอดีต เลยกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“มาเจอกันหน่อย ฉันมีบางเรื่องจะคุยกับแกแบบต่อหน้า”
เรื่องที่จ้าวเฉียนกำลังทำอยู่เมื่อเร็วๆ นี้ จ้าวหรงเองก็ทราบทุกอย่างดีเช่นกัน และยังรู้ว่าจุดประสงค์ที่หัวเซียงตงมาเยี่ยมในรอบห้าสิบปีนี้มาเพื่ออะไร ทั้งเขาและลูกชายอย่างจ้าวฝู่ล้มเหลวในการโค่นท่าเรือหัวมาโดยตลอด ทีแรกที่พวกเขาทราบเรื่องเองก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าอีก50ปีต่อมา จ้าวเฉียนหลานชายของเขาจะสามารถโค่นท่าเรือหัวได้จริงๆ และสุดท้ายนี้คิดหรือว่าจ้าวหรงจะให้โอกาสตระกูลหัว?
“คุณหัว ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องธุรกิจของตระกูลมากว่าสามสิบปีแล้ว คุณควรจะไปพบกับผู้นำตระกูลรุ่นปัจจุบันซะนะ ถ้าอยากคุยกับผมจริงๆ ก็คุยได้แค่เรื่องส่วนตัวไม่ก็รำลึกวันวานที่เราสู้รบกันในอดีต ฮ่าฮ่า…จะว่าไป…เมื่อห้าสิบปีก่อนพ่อของฉันเคยสัญญากับคุณหัวแล้วไม่ใช่เหรอว่า จะไม่รุกล้ำซึ่งกันและกัน หรือแก่จนความทรงจำลืมเลือนหมดแล้ว?”
จ้าวหรงกล่าวเยาะเย้ยขึ้นทันที
หัวเซียงตงได้แต่ทนความอับอายไว้อยู่ในใจและแสร้งหัวเราะตอยไปว่า
“ฮ่าฮ่า…ฉันยังไม่ลืมแน่นอน แต่คิดว่านี่ก็ผ่านไปกว่าห้าสิบปีแล้วนะ แถมพวกเราก็เคยทะเลาะกันครั้งเดียวแค่ตอนนั้น ปีนี้แกอายุเจ็ดสิบแล้วใช่ไหม ควรปล่อยวางได้แล้ว”
จ้าวหรงหัวเราะพลางตอบไปว่า
“ฉันก็ปล่อยวางนานแล้วนะ เมื่อสามสิบปีก่อนฉันทิ้งทุกอย่างฝากให้ลูกชายฉันจัดการต่อนานแล้ว คุณหัวนั้นแหละ โทรมาหาแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะจะมารำลึกความหลัง แล้วจะโทรมาทำไม?”
แค่ฟังหัวเซียงตงก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังพล่ามไร้สาระ ถ้าผ่านเที่ยงคืนนี้ผลการต่อสู้อันยาวนานจะปรากฏออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าจ้าวหรงกำลังแสร้งทำเป็นไม่รู้อิโหน่ยอิเหน่ จงใจพูดถ่วงเวลาอยู่
ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวัง หัวเซียงตงรีบเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาทันที
“บอกหลานชายให้รู้จักเมตตาคนอื่นซะบ้าง ถ้าต้องการสิ่งใดเป็นการชดเชยก็ขอมาได้เลย พวกเราตระกูลหัวจะไม่มีวันต่อรองเป็นอันขาด”
จ้าวหรงแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เอ่ยถามเจือน้ำเสียงดูสับสนว่า
“หือ? หลานชายของผมไปทำอะไรให้เหรอ?”
“หึ! นี่ฉันก็พูดชัดเจนแล้วนะ! นี่แกยังแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกงั้นเหรอ! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ! ปู่มันเป็นยังไงหลานมันก็เป็นอย่างงั้น! ถือว่าฉันขอล่ะ แกช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม!”
ต่อให้เป็นหุ่นดินเผายังต้องรู้สึกเคืองกันบ้าง แล้วนับประสาอะไรกับหัวเซียงตง ชายผู้เคยลุกขึ้นสู้กับตระกูลจ้าวมาแล้วครั้งหนึ่ง มีหรือจะทนได้ไหว?
แต่ถึงอย่างไรจ้าวหรงไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด แถมยังคงกล่าวกับหัวเซียงตงด้วยน้ำเสียงที่สงบอย่างยิ่ง
“คุณหัว พวกเราก็อายุปูนนี้กันแล้ว ทำไมยังต้องขึ้นเสียงใช้อามณ์ฉุนเฉียวใส่กันอีก? รู้ไหมว่าอารมณ์มีผลต่อสุขภาพร่างกายนะ เอาแต่โกรธแบบนี้ก็เท่ากับกำลังทำร้ายร่างกายตัวเองนะ ผมรู้จักซินแสเฒ่าคนหนึ่ง เขาเชี่ยวชาญเรื่องปรับสมดุลทางร่างกายและอารมณ์มาก ถ้าสนใจเดี๋ยวผมแนะนำ…”
“ไอ้พวกสกุลจ้าว! หยุดพร่ามได้แล้ว! แค่ก…แค่ก…”
หัวเซียงตงเดือดดาลอยู่ครู่หนึ่งจนหายใจไม่ทันผิดจังหวะ ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรงทันที เขารีบเอนหลังพิงเบาะนั่งพยายามควบคุมจังหวะลมหายใจให้กลับมาเข้าที่
หัวฉีเฉินตื่นตระหนกอย่างมากเมื่อเห็นแบบนั้นและรีบสั่งให้คนขับวกรถไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ทันที
จ้าวหรงวางสายและจู่ๆ ก็หันไปกล่าวกับจ้าวเฉียนที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ตลอดว่า
“ไอ้หมาน้อย แกคิดว่าฉันพอเป็นนักแสดงได้ไหม?”
จ้าวเฉียนหัวเราะลั่นอยู่สักพัก ก่อนยกนิ้วให้พร้อมกล่าวชมเชยว่า
“สุดยอดเลยปู่ ถ้าผันตัวไปเป็นนักแสดงตั้งแต่ตอนนั้น ผมว่าตอนนี้คงเป็นดารารุ่นใหญ่แห่งวงการแล้ว”
จ้าวหรงระเบิดหัวเราะลั่น เขาไม่ได้มีความสุขแบบนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ทั้งรุ่นพ่อของเขา รุ่นเขายาวมายันรุ่นลูก พวกเขาทั้งสามไม่เคยโค่นตระกูลหัวได้สำเร็จเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้พามาถึงรุ่นหลาน จ้าวเฉียนได้สานฝันของพวกเขาได้สำเร็จอย่างสวยงาน แล้วจะไม่ให้เขามีความสุขได้ยังไง?
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าโค่นล้มตระกูลหัว นั้นหมายความว่าไม่ได้มีเพียงท่าเรือหัวเท่านั้น แต่พวกเขายังมีธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย จึงถือได้ว่ายังโค่นลงได้ไม่สมบูรณ์ แต่นี่ก็ตัดท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของพวกมันได้ ตระกูลหัวคงเลิกซ่าไปอีกสักพักใหญ่
จ้าวเฉียนรีบกล่าวปลอบโยนถึงเรื่องดังกล่าวทันทีว่า
“ปู่ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้ความได้เปรียบอยู่ในมือผมแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยให้มันได้โอกาสฟื้นตัวกลับมาแน่ ไม่เพียงแค่ท่าเรือหัวเท่านั้น ผมจะทำลายธุรกิจอื่นๆ ของตระกูลหัวให้หมด”
จ้าวหรงพยักหน้าตอบด้วยความภาคภูมิใจในตัวหลานชาย อนาคตต่อจากนี้ของตระกูลจ้าวอยู่ในมือจ้าวเฉียนแล้ว หลานชายคนนี้ของเขาจะต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ารุ่นเขาหรือรุ่นก่อนๆ ที่เคยทำไว้ได้แน่นอน และเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงอะไรเลย
“ไปเถอะ ฉันอยากกลับไปนอนพักต่อแล้ว”
“เดี๋ยวผมเข็นกลับไปให้ครับ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เรื่องนี้ยังไม่คลี่คลายดี แกไปจัดการพวกมันต่อเถอะ ฉันเข็นเองได้”
หลังพูดจบจ้าวหรงก็เข็นล้อกลับไปที่ห้องนอนเอง ส่วนจ้าวเฉียนก็รีบไปจัดการกับพวกตระกูลหัวต่อทันที
เพื่อทำลายท่าเรือหัวให้หมดสิ้น จ้านเฉียนจำเป็นต้องเนินการต่อไป เขาส่งอีเมลไปถึงประธานสื่อสำนนักข่าวหลายแห่ง และขอให้เผยแพร่ข่าวตามข้อกำหนดของเขา นอกจากนี้เขายังขอให้หัวหน้าพ่อบ้านช่วยไปติดต่อหยานจิ้งไทม์และสำนักข่าวภาคค่ำอื่นๆ ให้รายงานว่า การที่เกิดปัญหากับการขนส่งของท่าเรือหัวมันจะส่งผลกระทบร้ายแรงเพียงใด
“ท่าเรือหัวไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ เรือทุกลำไม่สามารถออกจากท่าไปยังที่หมายตามข้อกำหนดได้ทัน นี่ส่งผลให้บริษัทเมล็ดพืชการาจและบริษัทไชน่าปิโตรเคมีต้องรับผิดชอบกับผลกระทบที่จะตามมา และอาจต้องสูญเงินไปกว่าหนึ่งพันล้านหยวนในคืนเดียว!”
“ข่าวซ้ำร้าย! หัวเซียงตงอดีตประธานบริหารให้ของท่าเรือหัว และหัวเซินซวนประธานบริหารคนปัจจุบัน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อาการโคม่าหนักยังนอนไม่ได้สติ เนื่องจากการประท้วงที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน ทิศทางของท่าเรือหัวจะเป็นอย่างไรอย่าลืมติดตามชม!”
“นักวิเคราะห์กล่าวไว้ว่า ถ้าท่าเรือหัวสูญเสียลูกค้ามรายใหญ่ทั้งสองแห่งไปได้แก่ บริษัทเมล็ดพืชการาจและบริษัทไชน่าปิโตรเคมี อาจทำให้พวกเขาตกสู่สภาวะล้มละลายได้ อันเนื่องมาจากเงินกู้ธนาคารกว่าสองพันล้านหยวน นี่เป็นภาระค่อนข้างหนักอย่างยิ่ง และอาจจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาหมุนไม่ทัน”
“อสังหาริมทรัพย์หัวกรุ๊ปกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย หัวฉีเฉิน รองประธานกลับตกกระป๋อง และน้องชายของเขาอย่าง หัวฉีหมิงจะเข้ามาบริหารแทน ศึกสายเลือดระหว่างสองพี่น้องเพื่อมรดกตระกูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”
“ท่าเรือหัวจ่อล้มละลาย! ดูจากงบการเงินไตรมาทที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานได้”
………..
พวกคนงานของท่าเรือหัวที่ยังเหลืออยู่พอเห็นข่าวนี้เข้าก็ยิ่งดูตึงเครียดเข้าไปใหญ่ หลายวันที่ผ่านมามีแต่ข่าวร้ายให้พวกเขารู้สึกกังวลมากขึ้นและมากขึ้น หากตระกูลหัวยังไม่เอาไม่รอดกันแบบนี้ แล้วมีหรือที่พวกเขาจะได้รับค่าจ้าง?