ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่84 ขอร้องจ้าวเฉียน
ตอนที่84 ขอร้องจ้าวเฉียน
สิ่งที่จางหยางวิตกกังวลที่สุดคือ เขาจะไม่มีหน้าไปอธิบายให้หวานฮันซูฟัง เขาไม่ต้องการเสียเพื่อและเงินทุนในมืออีกฝ่าย
แต่เขาก็ข้องใจเช่นกัน แม้แต่ฟางนี่ที่เป็นถึงเจ้าของบริษัท กัวหมิงต้ายังไม่ไว้หน้า แล้วจ้าวเฉียนจะมีปัญญาทำอะไรได้?
“เธอประเมินจ้าวเฉียนสูงเกินไป ขนาดคุณถ่อมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายยังไม่อยากคุยด้วยเลย แล้วเขาจะทำอะไรได้? แล้วที่สำคัญคือ มันเต็มใจออกจากบริษัทเอง คิกเหรอว่าจะยอมกลับมาง่ายๆ?”
ฟางนี่ตอบกลับเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“นี่คุณยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ? ฉันแค่ต้องการให้บริษัทของฉันรอดจากวิกฤตครั้งนี้ เขาคือความหวังเดียวแล้ว!”
จางหยางคลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจนัก ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะก่อนกล่าวว่า
“เธอกับฉันมาขอร้องถึงที่นี่ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายยังไม่ให้โอกาสเลย แล้วนับประสาอะไรกับมัน กับแค่พนักงานกระจอกคนหนึ่ง คิดเหรอว่าอีกฝ่ายจะยอมฟัง?”
ฟางนี่อธิบายว่า
“เขาเองก็มีทางของเขา ครั้งล่าสุดที่ซิงหยวนจัดการประมูลโปรเจคขึ้น เขาที่ออกงานเพียงลำพังสามารถนำโปรเจคใหญ่กลับมาให้บริษัทได้ แต่การที่คุณสบประมาทเขาแบบนี้ เท่ากับปิดโอกาสเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองด้วยซ้ำ ถ้าเขาช่วยเราครั้งนี้ได้ เพื่อนของคุณก็จะไม่กล่าวโทษพวกเราอีกไง ไม่อยากตัดเพื่อนไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
ฟางนี่จงใจเน้นเสียงคำว่า ‘ตัดเพื่อน’ ให้หนักเพื่อเตือนสติจางหยาง ให้ครุ่นนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดีและอย่าหยิ่งผยองจนเกินตัว
ตามที่เธอคิดไม่มีผิด พอจางหยางได้ยินคำว่า ตัดเพื่อน เขาก็นึกขึ้นได้ในทันที แต่ยังไงเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่า จ้าวเฉียนจะสามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้ เขายังคงหัวรั้นพยายามคิดหาวิธีอื่นต่อไป
“ถ้าจะเรียกมันกลับมา คุณก็ไปเรียกเองก็แล้วกัน ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้อยู่แล้ว ระหว่างนี้จะลองคิดหาวิธีอื่นดู ผมสามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้แน่นอน”
ฟางนี่ไม่อยากที่จะทำลายความมั่นใจของสามีตัวเอง เธอจึงยิ้มปลอบและกล่าวว่า
“ฉันเชื่อใจในความสามารถของคุณนะ ส่วนเรื่องจ้าวเฉียนฉันพยายามติดต่อไปหาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมช่วยเลย ก็เลยคิดว่า…ถ้าไม่คุณโทรก็ หวังเฉียน, เจวียงหยวน ไม่ก็เจียงเสี่ยวปิง ไม่ก็นัดทุกคนให้มาพบกับเขาไปเลย จากนั้นก็ช่วยกันเกลี้ยกล่อม เขาจะต้องยอมช่วยเราแก้ปัญหาแน่นอน”
จางหยวนส่ายหัว ตอบปฏิเสธกลับไปทันที
“มันมีคุณสมบัติอะไรที่ต้องให้ผมไปเชิญมาพบ? เธอจัดการของเธอไปเถอะ ผมไม่เอาด้วย!”
“โถ่ที่รัก คุณเสียสละเพื่อฉันหน่อยได้ไหม โอเคนะ?”
ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากที่สัญจรผ่านไปมาหน้าตึกบริษัทซิงหยวน ฟางนี่กระโดดโอบกอดรอบคอของจางหยาง ทำตัวงอแงราวกับเด็ดน้อย ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกอายอย่างมาก
“เข้าใจแล้วน่าๆ เธอรีบปล่อยได้แล้ว แถวนี้คนเยอะจะตาย ผมอายคนอื่นเขา”
ฟางนี่กวาดสายตามองไปโดยรอบ และเป่าหูน้ำเสียงเย้ายวนว่า
“แหมม ก็ไม่เห็นมีอะไรปกติเลย เราเป็นคู่รักกันนะ แถมยังจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้วด้วย ไม่เห็นต้องอายเลย”
“ผมรู้ ผมรู้ แต่พอมีคนมองมาทางเราแบบนี้ก็รู้สึกน่าอายอยู่นะ เรื่องแบบนี้ควรทำที่บ้านมากกว่า กลับไปบริษัทเรียกตัวพวกเขามา จากนั้นก็ออกตามหาจ้าวเฉียนกันเถอะ”
ฟางนี่พยักหน้าอย่างมีความสุข และรีบดึงจางหยางขึ้นรถและกลับไปที่บริษัท พอถึงออฟฟิศทุกคนต่างแหเข้ามารวมตัวถามกันว่าผลเป็นยังไง? ทางซิงหยวนยอมให้โอกาสไหม?
ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอบไปว่า
“CEOไม่เห็นแก่หน้าเราด้วยซ้ำ คนนี้ความหวังเดียวของเราคือจ้าวเฉียน ฉันจะลองส่งเขาไปที่ซิงหยวนอีกครั้งเพื่อลองขอโอกาสครั้งสุดท้าย ขอเพียงเขากลับเข้ามาในบริษัทได้ พวกเราต้องผ่านวิกฤตไปได้แน่นอน เอาล่ะ เจวียหยวน, หวังเฉียงและเจียงเสี่ยวปิง พวกเราทั้งหมดจะเดินทางไปหาจ้าวเฉียนเพื่อเกลี้ยกลอมให้เขายอมช่วยเราให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของบริษัท เก็บความคับข้องใจส่วนตัวแล้วคุยกับเขาดีๆ เข้าใจไหม?”
พอได้ยินฟางนี่พูดแบบนี้ หวังเฉียงและคนอื่นๆ ต่างไม่พอใจกันอย่างหนัก พวกเขาไม่ต้องการให้จ้าวเฉียนกลับมา ไม่แม้แต่เชิญเขากลับมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ
เจวียงหยวนกล่าวขึ้นว่า
“ประธานฟาง เพื่อผลปรนะโยชน์ของบริษัท ผมยินดีมองข้ามเรื่องส่วนตัวนะครับ แต่ประเด็นคือ แม้แต่ประธานฟางกับผู้จัดการจางออกโรงไปพบอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวขนาดนั้น เขายังไม่สนใจเลย แล้วจ้าวเฉียนจะไปทำอะไรได้? ไปให้ขายขี้หน้าเล่นเหรอครับ?”
หวังเฉียงยังกล่าวเชิงสะท้อนใจให้ฟังอีกว่า
“ประธานฟางประเมินจ้าวเฉียนสูงเกินไปแล้วครับ แทนที่เราจะตรึงความหวังทั้งหมดให้กับหมอนั้น สู้พวกเราช่วยกันระดมความคิดหาวิธีอื่นดีกว่าไหม?”
แต่ทว่าครั้งนี้ กลับเป็นเจียงเสี่ยวปิงที่เห็นต่าง เธอสนับสนุนให้จ้าวเฉียนกลับมาช่วย
“ฉันคิดว่าประธานฟางพูดมีเหตุผลนะ จ้าวเฉียนเคยทำให้บริษัทของเรากับบริษัทลูกของซิงหยวนกลับมาร่วมมือกันใหม่ได้ แสดงว่าเขาจะต้องมีกลวิธีบางอย่างที่พวกเราไม่รู้และได้ผลจริง อะไรที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เขามักจะทำได้ทุกครั้ง แถมตอนนี้ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ลองดูก็ไม่เสียหายนะ”
ทันทีที่เจียงเสี่ยวปิงกล่าวออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างหันควับจับจ้องเธอด้วยความประหลาดใจ แต่ละคนต่างคิดว่าเธอต้องคัดค้านความคิดนี้ของฟางนี่แน่นอน แต่ที่ไหนได้ เธอกลับทำตรงข้ามกันเลย
หวังเฉียงเค้นเสียงหึคคำโต เอ่ยถามด้วยความไม่พอใจว่า
“ทำไม? เธออยากกลับไปอยู่กันมันรึไง? เลิกฝันกลางวันได้แล้ว มันไม่เอาเธอหรอก”
เจียงเสี่ยวปิงสวนตอบทันที
“ฉันเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก และคงไม่ใช่เรื่องถ้าบริษัทต้องล้มละลายเพียงเพราะความคับแค้นใจของคนใดคนหนึ่ง ถ้าถึงตอนนั้น พวกเราทุกคนจะตกงานกันหมด แล้วจะเอาอะไรกินกัน? ฉันคิดว่าทุกคนเองต่างก็มีภาระค่าใช้จ่ายของตน ทั้งค่าเช่าคอนโด, ค่าผ่อนบ้าน, ค่าผ่อนรถ จริงไหม? ถ้าบริษัทนี้จบ พวกเราก็จบชีวิตเช่นกัน อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังเหลือความหวัง ก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรให้ลองเลยไม่ใช่รึไง?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทุกคนเห็นด้วยกับมุมมองของเจียงเสี่ยวปิงในทันที ถ้าจ้าวเฉียนสามารถแก้ไขปัญหาครั้งนี้ได้จริง ทุกคนก็จะกลับมามีความสุขอีกครั้ง และพวกเขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน ถ้าบริษัทนี้ต้องล้มละลายและปิดตัวลง ภายใต้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ มันหางานง่ายนักเหรอ?
อย่างไรก็ตาม แม่คำพูดของเธอจะฟังดูดี แต่แท้จริงแล้วเธอแค่ต้องการให้จ้าวเฉียนกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อเธอจะได้มีโอกาสแก้แค้นเขา ถ้าอยู่ในบริษัทนี้ต่อไปโดยไม่มีจ้าวเฉียน แล้วชีวิตของเธอยังมีความหมายอะไรอีก?
ในอีกด้าน จางหยางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขายังคงดำรงตำแหน่งผู้จัดการภายใต้ฐานะสามีของประธานบริษัท แต่กลับยังไม่มีผลงานโดดเด่นสำหรับพิสูจน์ความสามารถให้ใครเห็นเลย แถมตอนนี้ทุกคนยังเรียกร้องแต่ให้จ้าวเฉียนกลับมา ถ้าปล่อยไปแบบนี้ทุกคนจะยิ่งกังขาในความสามารถของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
จางหยางครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งและกล่าวกับทุกคนว่า
“ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคู่ค้ารายนี้แล้ว จ่ายเงินชดเชยให้มันไปจะได้จบ ผมไม่เชื่อหรอกว่าจ้าวเฉียนจะสามารถเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซิงหยวนได้สำเร็จ และผมก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมพวกคุณถึงเชื่อใจในตัวเขาขนาดนั้น?”
ทุกคนรีบอธิบายให้จางหยางฟังทันทีว่า จ้าวเฉียนเคยช่วยบริษัทนี้ให้ผ่านพ้นวิกฤตกี่ครั้งแล้ว แถมแต่ละโปรเจคที่เขาดิลได้ยังสร้างกำไรให้แก่บริษัทอย่างมหาศาล หากซิงหยวนยังคงจับมือให้ความร่วมมืออยู่แบบนี้ เรื่องผลกำไรในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย แต่ถ้าสูญเสียลูกค้ารายใหญ่แบบซิงหยวนไป บริษัทจะกลับเข้าสู่สภาวะวิกฤตอีกครั้งแน่นอน พวกเขาไม่อยากกลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกแล้ว จุดที่เงินเดือนของพวกเขาถูกหักเหลือครึ่งเดียว
คล้อยหลังทุกคนพูดจบ พวกเขาต่างจับจ้องไปที่ฟางนี่อย่างมีความหวัง และขอให้เธอตัดสินใจมาเลยว่าจะเดินในทิศทางไหนต่อ เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ และทุกคนจะต้องเชื่อฟังโดยไร้ข้อกังวลใด
เธอทราบดีว่าตอนนี้สามีของเธออยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับจางหยางขนาดไหน ที่ทุกคนต่างชื่นชมจ้าวเฉียนต่อหน้าทั้งแบบนี้ แต่ในฐานะที่ฟางนี่เป็นเจ้าของบริษัท เธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน
ฟางนี่กล่าวขึ้นพร้อมท่าทีลังเลว่า
“เจียงเสี่ยวปิง เธอเป็นคนเดียวที่สามารถวางเรื่องส่วนตัวลงได้ ฉันขอร้องเถอะนะ ช่วยไปเกลี้ยกล่อมจ้าวเฉียนทีเถอะ ส่วนพวกนาย ถ้าไม่ยอมไปด้วยกันกับเธอ ฉันจัหักเงินเดือนพวกนายเหลือครึ่งเดียว!”
จางหยางรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวสุดหัวใจ ฟางนี่พูดออกมาแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับลากเขามาตบหน้าต่อสาธารณะเลย ช่างน่าอัปยศเกินรับไหวแล้ว
หวังเฉียงและเจวียงหยวนไม่มีทางเลือกอ่านนอกจากพยักหน้าเห็นด้วย
ฟางนี่พยักหน้าตอบและส่งข้อความไปหาจ้าวเฉียนผ่านWeChat จากนั้นไม่นานเธอก็ต่อสายตรงโทรหาเขาแทน
“ฮาโหล จ้าวเฉียน ฉันจะพาจางหยาง, หวังเฉียง, เจวียงหยวนและเจียงเสี่ยวปิง ไปหานาย พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อย”
จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ดัดเสียงทำเป็นตกตะลึงอุทานขึ้นว่า
“โอ้? ทำไมจู่ๆ คุณฟางถึงพาพวกเขามาหาผมอีก? นี่คิดจะหาเรื่องกันเหรอครับ? ผมที่ยอมเดินจากบริษัทนี้ไปยังไม่พออีกเหรอครับ?”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น! ฉันจะพาพวกเขามาสารภาพผิดกับนายต่างหาก ได้โปรดเถอะ กลับมาช่วยบริษัทเราที ตอนนี้พวกราเข้าขั้นวิกฤตแล้วจริงๆ …”
“ไม่ใช่ว่า…คุณฟางมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คอยสนับสนุนด้านเงินทุนอยู่เหรอครับ? ไม่เห็นจะต้องใส่ใจเรื่องเล็กๆ แบบนี้เลย?”
“เอ่อ…ถ้าให้พูดตามตรงเลยนะ จางหยางดึงให้หวานฮันซูมาลงทุนโดยเอ่ยปากรับประกันไปว่า จะสามารถสร้างผลกำไรเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสิบล้านภายในสองปี แต่ตอนนี้ ซิงหยวนถอนความร่วมมือจากเราแล้ว แถมยังไม่ให้โอกาสเราแก้ตัวเลย ถ้าเขารู้พวกเราตายแน่! หวานฮันซูจะต้องโดนสำนักงานใหญ่ที่อเมริกาฟ้องร้อง เส้นทางอาชีพของเขาจะต้องพังพินาศ ดังนั้นหนทางเดียวที่จะกู้สถานการณ์ครั้งนี้กลับมาคือนาย!”
จ้าวเฉียนไม่คิดจะช่วยใครฟรีๆ อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่การกุศล ถ้าต้องการให้เขากลับไปช่วยจริงๆ ต้องเป็นฝ่ายคุณต่างหากที่ต้องแสดงความจริงใจออกมา