ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่85 มากที่สุดคือ10
ตอนที่85 มากที่สุดคือ10%
จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลาเสวนากับฟางนี่อีกต่อไป เขาจึงเสนอเงื่อนไขที่ตัวเองต้องการตามตรงไปว่า
“ผมไม่สนหรอกนะครับว่าบริษัทคุณต่อจากนี้จะเป็นยังไง มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผมแล้ว เว้นเสียแต่ผมกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนี้อีกครั้ง เท่านี้ก็กลายเป็นเรื่องของผมที่ต้องจัดการแก้ไขทันที ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคุณฟางเองนะครับ ขอตัวไปช็อปปิ้งก่อน”
ฟางนี่รู้ดีว่าจ้าวเฉียนไม่พอใจเรื่องความยุติธรรมในฐานะผู้ถือหุ้นก่อนหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในบริษัทอีกเลย หลังจากจางหยางเข้ามา
แต่ตอนนี้มีวิกฤตครั้งใหญ่ จางหยางเซ็นสัญญาข้อตกลงกับหวานฮันซูไปแล้ว โดยมีเงื่อนไขว่า บริษัทนี้ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้ามาร่วมถือหุ้น หากไม่ได้รับการยินยอมจากหวานฮันซู กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หวานฮันซูมีอำนาจขัดขวางคนอื่นไม่ให้เข้ามาถือหุ้นร่วมกันได้
แม้จะไม่รู้ว่าระหว่างหวานฮันซูกับจ้าวเฉียนจะมีความแค้นแบบไหนกันมาก่อน แต่ฟางนี่ตระหนักดีว่า ทั้งคู่ไม่กินเส้นกัน แล้วหวานฮันซูจะยินยอมให้จ้าวเฉียนเข้ามาถือหุ้นได้ยังไง?
ฟางนี่รีบกล่าวตอบไปทันที และเล่าสถานการณ์ให้จ้าวเฉียนฟังว่า
“เดี๋ยวก่อน! ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องนี้ พวกเราสามารถคุยกันได้ ฉันหวังว่านายจะเข้าใจนะ?”
จ้าวเฉียนไม่ได้เห็นใจเธอแม้แต่น้อย เอ่ยตอบเสียงเรียบไปเพียงว่า
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อบริษัทนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม แล้วผมจะไปช่วยทำไมให้เสียเวลา? อย่าหาว่าผมใจดำเลยนะครับคุณฟาง เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้จริงๆ”
ฟางนี่รู้สึกอับอาบอย่างที่สุด เธอตอบได้เพียงว่า เรื่องของส่วนผู้ถือหุ้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหวานฮันซูล้วนๆ เธอไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้เลย
จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบไปแค่ว่า ช่วงนี้เขายุ่งมาก ทั้งต้องช็อปปิ้งและจิบน้ำชายามบ่าย คงไม่ว่าช่วยทำการกุศลฟรีๆ ก่อนจะตัดสายทิ้งไปโดยตรง
ทุกคนรีบเอ่ยถามฟางนี่ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวเฉียนเต็มใจยื่นมือมาช่วยไหม?
ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยตอบไปว่า
“เขามีเงื่อนไขถึงจะยอมช่วย ฉันจะกลับไปคิดเรื่องนี้ดูอีกที ส่วนพวกนายแยกย้ายกลับไปทำงานเถอะ”
จากนั้นฟางนี่ก็เรียกจางหยางเข้าไปในห้องทำงานของเธอ
เห็นสีหน้าการแสดงออกอันแสนจะหม่นหมองของฟางนี่ จางหยางเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“จ้าวเฉียน มันไม่เต็มใจช่วย?”
“เห้ออ…ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจ แต่เขาต้องการกุ้นส่วนของบริษัท แต่หวานฮันซูมีเหรอจะยอม? เขาไม่ตกลงช่วยเราฟรีๆ”
จางหยางที่ได้ฟังแบบนั้นก็โมโหอย่างมาก กรนด่าขึ้นคำโตว่า
“ไอ้งูพิษ! ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้! ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เคยทำงานที่นี่มาก่อน พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง!”
ฟางนี่ส่ายหัว และเถียงจางหยางตอบไปว่า
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้พอจะเข้าใจได้นะ ถ้าเป็นฉันที่โดนเอาเปรียบก่อนแบบนี้ ก็คงทวงคืนความยุติธรรมแบบเขาเช่นกัน เขาเป็นคนแรกที่ยอมเสี่ยงลงทุนกับฉัน แต่พอบริษัทเริ่มมีกำไรเติบโตกลับโดนถีบหัวส่ง ถ้าเป็นไปได้ ฉันว่าคุณลองหาทางคุยกับหวานฮันซูดีกว่า ยอมยกหุ้นส่วนให้เขาคืนดีกว่า ตราบใดที่เขาสามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทุกอย่างก็คุ้มค่า”
จางหยางส่ายหัวตอบทันทีและปฏิเสธเสียงแข็ง เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง เขายังกล่าวเสริมไปว่า ใครจะไปโง่ยกหุ้นส่วนให้จ้าวเฉียน? พอฟางนี่ได้ยินแบบนั้น เธอก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีเธอคาดหวังไว้ว่า สามีของเธอจะนำสิ่งที่ได้ศึกษาเรียนรู้มาจากเมืองนอกมาช่วยพัฒนาบริษัทของเธอให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น แต่ดูตอนนี้สิ? ไม่เพียงล้มเหลวในการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังลากบริษัทของเธอตกสู่ที่นั่งลำบากอีก
อย่างไรก็ตามแต่ นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันเอง วิกฤตครั้งนี้จำต้องถูกแก้ไขโดยด่วน
“โอ้ที่รัก ลองคิดถึงอนาคตบ้างสิ ถ้าเราสามารถทำให้บริษัทสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอและมั่นคงหลังจากนี้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ อีกเลย แถมยังมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต ขอเพียงข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้”
จางหยางเป็นพวกหัวคิดทางตะวันตก คือรักอิสรภาพและมั่นใจในความสามารถตัวเอง และเขาจะไม่ทนอยู่ใต้ล่างใครในอนาคต การมีอิสรภาพการใช้ชีวิตถือเป็นความปรารถนาสูงสุดของตัวเขา คิดได้ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและตอบเธอกลับไปทันทีว่า
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะโทรหาหวานฮันซูเดี๋ยวนี้เลย และลองหารือกับเขาดู”
“ตกลงค่ะ”
ฟางนี่ส่งยิ้มหวานให้ แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
จางหยางสูดหายใจเข้าลึกๆ และกดโทรหาหวานฮันซูทันทีและอธิบายถึงคำขอที่จ้าวเฉียนต้องการให้ฟัง และไถ่ถามไปตามตรงว่า อีกฝ่ายเต็มใจปล่อยหุ้นไปทางนั้นบ้างได้ไหม?
หวานฮันตอบปัดไล่ปฏิเสธสวนกลับไปทันควัน
“ไม่! ถ้ามันอยากเป็นส่วนผู้ถือหุ้นนัก ฉันให้มันได้แค่10%ในราคา10ล้าน!”
จางหยางถอนหายใจคำโต เอ่ยตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“ถ้าเขาต้องการแค่นั้นกลับไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ประเด็นคือ…เขาต้องการขึ้นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ หรือคิดเป็นอัตราส่วนคือ51%…”
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่! ฉันลงทุนไปตั้งสิบล้านยังได้หุ้นแค่30% แต่มันต้องการคืนไปฟรีๆ ตั้ง51% ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ยอม!”
“แต่ตอนนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถดึงคู่ค้ากลับมาได้ บริษัทจะทำกำไรได้ยังไงถ้าไม่มีโปรเจคทำเกม? แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สิ้นปีนายจะรายงานผลการดำเนินงานกับสำนักงานใหญ่ยังไง?”
หวานฮันซูกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด เขาตวาดเสียงดังลั่นว่า
“ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะนายนั้นแหละ! บังอาจหลอกฉันให้ร่วมลงทุนด้วย! ฉันเห็นว่าแกเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของฉัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาโกงกันแบบนี้!”
“นี่นายกำลังพูดบ้าอะไร? ทำไมฉันต้องโกงนายด้วย? ฉันก็ส่งงบการเงินทั้งหมดให้แกดูอย่างตรงไปตรงมา ภายในสองปีก็ถอนทุนคืนได้แล้วจริงๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์จะกลับกลายมาเป็นแบบนี้!”
หวานฮันซูตะโกนอัดหูซ้ำสองไปว่า
“ฉันไม่สน! ไม่ว่ายังไงก็ยังยืนยันคำเดิมคือ ไม่แบ่งหุ้น! มากที่สุดคือ10% เท่านี้แหละ!”
“แต่…แต่ซิงหยวนจะยกเลิกคำสั่งจริงๆ แล้วนะ พวกหนักงานเคยบอกว่า ซิงหยวนเคยจะยกเลิกแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ได้จ้าวเฉียนมากู้วิกฤตครั้งนั้นได้ บางทีเจ้าหมอนั่นอาจมีเส้นสายอยู่ภายในนั้น จึงสามารถทำให้อีกฝ่ายกลับมาให้ความร่วมมือได้ ตอนนี้พวกเราไม่เหลือทางเลือกแล้วจริงๆ หวานฮันซู นายก็บอกเองไม่ใช่เลยว่า โปรเจคแรกของนายสำคัญมาก มันอาจจส่งผลถึงเส้นทางอาชีพในอนาคตของนาย!”
หวานฮันซูชะงักไปชั่วขณะ รวนเรใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนถอนหายใจกล่าวตอบไปว่า
“เห้ออ…โอเค! บอกมันไปว่ามากที่สุดคือ10% หากจะเอามากกว่านี้ฉันจะลงทุนทำเพื่ออะไร? ถ้าสุดท้ายคู่ค้ารายนี้มันดื้อด้านนัก ก็ไปหารายอื่นแค่นั้นแหละ พนักงานเอาแต่ร้องเรียกหาจ้าวเฉียน นายก็ปล่อยให้มันกลับมานั่นแหละ พอมันทำพลาดล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็ไม่มีใครกล่าวถึงมันอีกแล้วหลังจากนี้ แต่ถ้ามันทำสำเร็จ ค่อยคิดว่าวิธีเขี่ยมันออก”
จางหยางที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกว่า คำพูดนี้ของอีกฝ่ายค่อนข้างสมเหตุสมผล ถ้าจ้าวเฉียนทำล้มเหลว ใครยังจะต้องการมันอีก?
หลังจางหยางวางสายไป เขาก็รีบหันมาพูดกับฟางนี่ว่า
“หววานฮันซูบอกว่า ยอมยกให้จ้าวเฉียนมากที่สุดแค่10%จากทั้งหมด แล้วฉันคิดว่าทุกคนในบริษัทควรรับรู้ถึงเงื่อนไขนี้เช่นกัน ถ้ามันทำไม่สำเร็จ ทุกคนจะได้เลิกคาดหวังในตัวมันสักที มันเองคงไม่มีหน้ากลับมาเหยียบที่นี่เช่นกัน”
ฟางนี่พยักหน้าและออกไปเรียกทุกคนให้เข้าไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมโดยด่วน และอธิบายเงื่อนไขที่จ้างเฉียนต้องการให้ทุกคนฟัง พร้อมยังย้ำอีกว่า ห้ามทำตัวมีปัญหากับเขาเด็ดขาด บริษัทจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเขาคนเดียวแล้ว
พนักงานทุกคนไม่มีใครคัดค้าน เพราะท้ายที่สุดนี้ นี่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของพวกเขาในอนาคตเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าคัดค้าน
ฟางนี่หันไปถามเจียงเสี่ยวปิงว่า
“เจียงเสี่ยวปิง เธอรู้ไหมว่าจ้าวเฉียนอาศัยอยู่ที่ไหน?”
เจียงเสี่ยวปิงส่ายหัวและตอบว่า
“แต่ก่อนเราอยู่ห้องเช่าด้วยกัน แต่ตอนนี้สัญญาเช่าหมดแล้ว ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ประธานฟางลองหาวิธีชักชวนเขาออกมาดีกว่าไหม?”
ฟางนี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหยิบมือถือกดโทรหาจ้าวเฉียน
“ฮาโหลจ้าวเฉียน นายพอมีเวลาออกมาเจอกันไหม? เรื่องหุ้นส่วนเราสามารถคุยกันได้ แต่ยังไงเราก็ต้องออกมาเจอกันเพื่อลงนามในหนังสือสัญญากันนะ ออกมาหารือกันหน่อยดีกว่า”
จ้าวเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นพลันแสยะยิ้มฉีกกว้าง
“ก็ได้ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่สตาร์บัคสาขาจัตุรัสกลางเมือง”
“โอเคแล้วเจอกัน”
ฟางนี่วางสายและขอให้ทุกคนหยุดมือกับงานที่ทำอยู่ทั้งหมด และเตรียมตัวเก็บข้าวของและออกเดินทางไปที่สตาร์บัคโดยทันที
พนักงานทุกคนรีบแยกย้ายออกไปเก็บของและทยอยขึ้นรถรับส่งพนักงาน บ้างก็ขึ้นแท็กซี่รีบตามไปเพื่อเจอกันที่สตาร์บัค แม้แต่แม่บ้านทำความสะอาดทุกคนยังต้องเดินทางไปพบจ้าวเฉียนด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จ้าวเฉียนก็เดินทางมาถึงสตาร์บัค ฟางนี่ที่เฝ้าคอยอยู่นานแล้วก็รับโทรหาจางหาง ขอให้เขาพาทุกคนเข้ามา
ห้านาทีต่อมา จางหยางเดินนำเข้ามาในร้าน พร้อมกับทุกคนที่ยืนล้อมจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็ว