ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 22 การขอโทษต่อมู่หวั่นขี
ตอนที่ 22 การขอโทษต่อมู่หวั่นขี
เมื่อกลับถึงวิลล่าแล้ว ตลอดทางมู่น่อนน่อนเอาแต่รีเฟรชWeiboอยู่ตลอดเวลา
หัวข้อ “คนอัปลักษณ์แถมยังเรื่องเยอะ” ต่างพุ่งกระฉูด
ในWeiboนั้นคนจำนวนเยอะแยะต่างกำลังด่าทอมู่น่อนน่อน ไม่หยุดหย่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเย็นชา หล่อนเป็นถึงผู้เสียหาย แล้วจะยังให้คนอื่นมาด่าทอหล่อนที่เป็นผู้บริสุทธิ์แบบนี้หรอ? แต่มู่หวั่นขี ผู้เริ่มต้นยิงปืนนัดเดียวแถมได้นกมาสองตัวงั้นหรอ?
มู่น่อนน่อนส่งข้อความให้เสิ่นเหลียง
“แนะนำฝ่ายการตลาดที่น่าเชื่อถือได้ให้ฉันที”
“เธอจะทำอะไร???!!”
แม้ว่าระยะของตนเองจะห่างจากโทรศัพท์มือถือก็ตาม แต่มู่น่อนน่อนรับรู้ความรู้สึกตื่นเต้นของเสิ่นเหลียงไว้ได้ทั้งหมด
“ฉันไม่อยากถูกด่าฟรีๆ”
“นี่ก็ถูกแล้วนี่ ทิ้งนิสัยเจ้าหญิงล้าหลังไปซะที! ฉันจะช่วยติดต่อเพื่อนฉันให้เธอเอง จำนวนแฟนคลับของหล่อนเยอะกว่าฉันมาก….”
เสิ่นเหลียง ดูไม่คุ้นชินกับหน้าตามู่หวั่นขีที่โกรธเคืองโมโหอย่างทันควันอยู่ “ทุกคนบนโลกใบนี้ก็ฟังฉันทั้งนั้น” ด้วยคำพูดที่คอยเรียกมู่หวั่นขีว่าเจ้าหญิงล้าหลัง
มู่น่อนน่อนที่ได้ยินดังนั้นถึงกลับหมดความอดทน เสิ่นเหลียงชอบดูอาการครื้นเครงของผู้หญิงที่ไม่เกรงกลัวเรื่องใหญ่โตอะไร!
แต่ว่า เรื่องมันพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่คิดว่าจะสงบลง หล่อนก็คิดว่าจะทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นอีกสักนิด
ที่แท้ มู่หวั่นขีตั้งใจเอาไว้ว่าจะสูบเลือดสูบเนื้อและใช้ประโยชน์จากตัวหล่อน งั้นก็ทำให้มู่หวั่นขีสมใจอยากไปเลย
ทว่า มู่หวั่นขีสามารถรับมือกับการเรียกร้องคุณค่าให้หล่อนกลับมาขาวสะอาดดังเดิม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
……
บ่ายสามโมง แสงตะวันคล้อยบ่ายช่างเป็นช่วงเวลาในการดื่มน้ำชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาบ่ายสามโมงของวันสุดสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อความเนื้อหาธรรมดาอยู่ข้อความหนึ่ง เขียนแค่คำว่า “ขอโทษ” เอาไว้สามคำในWeiboนั่นที่กลายเป็นกระแสในอันดับต้นๆ
เวลาเพียงแค่สองชั่วโมง comment นั่นก็ลงความเห็นเกินหนึ่งหมื่น comment เข้าไปแล้ว
ข้อความของWeiboอันนี้มู่น่อนน่อนเป็นคนใช้IDของตัวเองลงเอง
หล่อนให้ฝ่ายการตลาดเป็นฝ่ายส่งรูปหน้าจอมาให้ แถมยังแนะนำที่มาข้อความWeibo “คนอัปลักษณ์แถมยังเรื่องเยอะ” ทั้งหัวข้อแยกออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในทันใดนั้นเอง คนในWeiboต่างด่าทอกันอย่างเมามัน
ข้อความ comment ที่ว่า “ตายยกครัวบ้าง” “ถูกรถชนบ้าง” ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยจนนับไม่ถูก
เสิ่นเหลียงโมโหจนจะบ้าคลั่งแล้ว หล่อนรีบโทรศัพท์ไปหามู่น่อนน่อน “มู่น่อนน่อน นี่เธอบ้าไปแล้วหรือไง? เธอมาหาฉันก็เพื่อ… ที่ทำมาทั้งหมดก็เพื่อจะขอโทษมู่หวั่นขี ผู้หญิงที่มีนิสัยเจ้าหญิงล้าหลังไม่ใช่หรอ? เธอเชื่อหรือป่าวว่าตอนนี้ฉันสามารถถลกหนังเธอได้นะ?”
“ไม่เชื่อ” มู่น่อนน่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ
เสิ่นเหลียงเริ่มหมดกำลังใจนิดๆ “เธอวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”
ช่วงที่หล่อนเริ่มเห็นข้อความต้นๆของWeiboนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนเขียนเอง พอมาดูอีกที ID นั้นเป็นของมู่น่อนน่อนจริงๆ
ถึงแม้ว่าหล่อนจะโกรธเคืองก็ตาม แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
หลายปีมานี้มู่น่อนน่อนอยู่ที่บ้านตระกูลมู่ต่างกล้ำกลืนฝืนทนมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนไม่มีอาการโกรธเคือง
“ฉันคิดว่าจะส่งของขวัญมาให้มู่หวั่นขีชิ้นใหญ่” มู่น่อนน่อนถึงกลับหยุดชะงัก น้ำเสียงลดต่ำลงไปเยอะ “ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นแรกในชีวิตที่ให้คนมาด่าทอหล่อนยกใหญ่”
ทางบ้านของเสิ่นเหลียงดีกว่าบ้านมู่อยู่บ้าง หล่อนอยากจะจัดการมู่หวั่นขีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนรั้งเธอเอาไว้มาตลอดไม่ให้หล่อนทำแบบนี้
คราวนี้มู่น่อนน่อนเป็นคนลงมือทำด้วยตนเอง หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเอามา “พอแล้ว ยังไงก็ตามเธอมีเรื่องอะไรสามารถเรียกใช้ฉัน ก็โทรศัพท์มาหาฉันได้โดยตรงเลย”
……
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก
สือเย่ถือแท็บเล็ตเดินเข้ามา แล้วก็เอาแท็บเล็ตวางไว้บนโต๊ะทำงาน “เจ้านาย คุณผู้หญิงลงขอโทษคุณมู่หวั่นขีบนWeiboแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวกำลังจัดการงานอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รับกิจการของตระกูลเฉินอย่างเต็มตัวก็ตาม แต่ว่าเขาก็มีกิจการลับๆเป็นของตนเอง
เขาเงยศีรษะมองแท็บเล็ตแวบหนึ่ง สือเย่เปิดดูข้อความอันนั้นบนWeibo
แค่แวบเดียว เขาก็กวาดตามองจากบนลงล่างได้ครบ น้ำเสียงสงบนิ่งอย่างไม่มีเสียงแตกพร่า “แทบไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ แล้วทำไมหล่อนถึงพูดว่าข้อความนี้เขียนเพื่อขอโทษมู่หวั่นขีไปได้ล่ะ?”
“เจ้านาย ความหมายของคุณคือ…” สือเย่จดจำความทรงจำระหว่าง มู่น่อนน่อนไว้ได้ พร้อมทั้งหยุดคำว่า “หน้าตาไม่ดี” “แถมยังตอบสนองได้ช้ามาก” พอเวลาอ่านข้อความบนWeibo เลยไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งอะไร
“อย่าไปแทรกแซง ถ้ามีความคืบหน้าก็บอกฉันก็แค่นั้นแหละ”
ถึงแม้ว่าเขาเคยเจอมู่หวั่นขีมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ว่าก็ดูออกว่า มู่หวั่นขีถูกคนที่บ้านตามใจจนเสียคน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ไม่เคยคิดเลย
อย่างน้อย การถกเถียงเรื่องพวกนี้กับเขา มู่หวั่นขีไม่ได้ใช้สมองมาคิดเลยด้วยซ้ำ
ส่วนสภาพแวดล้อมในการเติบโตของมู่น่อนน่อนนั้นมันช่างเลวร้ายสุดทน ไม่มีการปรบมือ ไม่มีการให้กำลังใจ แถมถูกญาติๆทุกคนผลักไสไล่ส่ง เพราะฉะนั้นหล่อนเลยดูโตกว่ากว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะ
เขาเชื่อว่าหากมู่น่อนน่อนอยากจะต่อกรขึ้นมาจริงๆ มันต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
หากไม่ประสบผลสำเร็จ…
เฮ้อ หากหล่อนไม่ขอร้องเขา เขายินยอมคิดทบทวนเพื่อที่จะช่วยเหลือหล่อนอยู่
แต่ว่า…ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นมีโอกาสที่จะมาขอร้องเขา…..
——ตืด ตืด
เสียงโทรศัพท์สั่นนั่นเป็นสิ่งที่เรียกสติของเฉินถิงเซียวกลับมา
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ก็เห็นหมายเลขบนโทรศัพท์ สีหน้าเงียบขรึม
เป็นสายโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ
เขายังไม่ทันรับโทรศัพท์ แถมพูดออกมาว่า “คุณออกไปก่อน”
ช่วงที่เขาพูดออกมานั้น สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ สือเย่ เป็นคนสนิทขิงเขาเป็นอย่างมาก เดาก็รู้ว่าใครกันที่เป็นคนโทรศัพท์เข้ามา
ยามเมื่อสือเย่ ออกไปแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้กดรับโทรศัพท์บนหน้าจอ
วินาทีต่อมา กระบอกเสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงถามเขากลับมา “ถิงเซียว ข่าวบนอินเทอร์เน็ตมันมีเรื่องอะไรกันแน่? ขนาดฉันที่อยู่ต่างประเทศยังเห็นข่าวนี้เลย ในประเทศคงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แกไปขอผู้หญิงที่อัปลักษณ์และโง่ขนาดนั้นแต่งงานจริงๆหรอ? ตำแหน่งแกก็ดูดีอยู่แล้วนี่ ทำไมถึงไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด สามารถเรียกพวกหมาพวกแมวนั่นเป็นภรรยาของแกได้ตามสบายเลยนะ แกสามารถเปิดรับคนพวกนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านเฉินได้เลย…”
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง จนเฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงแสดงความโกรธขึ้นมาเล็กน้อย“เฉินจิ่งหยุ้น!”
“น้ำเสียงนี้ของแกหมายความว่ายังไง? ฉันเป็นพี่สาวของแกนะ!”
“ก็แค่เกิดก่อนฉันสองนาทีเนี่ยนะ” เฉินจิ่งหยุ้น เป็นพี่สาวแท้ๆของเฉินถิงเซียว
เฉินจิ่งหยุ้นพยายามสงบอารมณ์สักพัก ถึงได้พูดต่อ “ถิงเซียว ฉันไม่ได้มาขวางแกไว้ แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ทำไมแกถึงได้ปลอมตัวเป็นคนไร้ค่าไปได้ล่ะ แถมตอนนี้ขนาดผู้หญิงในครอบครัวเล็กๆนั่นยังกล้ามารังแกแกได้ ที่ทำไปทั้งหมดนี่จำเป็นไหม? อีกสองปีพ่อก็จะเกษียณแล้ว แกจะต้องเป็น…”
เฉินถิงเซียวก็เหมือนว่าเป็นแมวเหมียวที่กำลังถูกเหยียบหางอยู่ แวบเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างเห็นชัดเจน “ก็เพราะว่าคนที่เห็นแม่ถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าจนถึงแก่ความตาย ไม่ใช่เธอ! เพราะงั้นตอนนี้เธอเลยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศอย่างสบายอกสบายใจ แต่ว่าฉันทำไม่ได้! ยังจับมือหาคนร้ายที่ทำร้ายแม่ไม่ได้ ฉันก็ใช้ชีวิตสงบสุขไม่ได้!”
เฉินจิ่งหยุ้นตอบโต้เขา “คนลักพาตัวพวกนั้นก็ถูกสไนเปอร์ยิงทิ้งไปแล้วนี่!”
น้ำเสียงเงียบขรึมของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “ไม่มีทาง! คนร้ายตัวจริงยังจับตัวไม่ได้! เช้าวันนั้นเป็นเพราะพวกเราแก้กำหนดการเดินทาง หากไม่มีคนของตระกูลเฉินแจ้งข่าว พวกเรียกฆ่าไถ่พวกนั้นไม่สามารถใช้เวลาอันน้อยนิดหาเราได้แม่นยำขนาดนี้ แล้วจับพวกเราไปเรียกฆ่าไถ่!”
พอคิดเรื่องในวันนั้นขึ้นมา ความเกลียดและความโกรธที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของเฉินถิงเซียวมันปะทุกันจนอัดแน่นจุกอก
เขาไม่อยากพูดสนทนากับเฉินจิ่งหยุ้นต่อ “ปึก” เสียงตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ทุกครั้งที่ทะเลาะกับหล่อนก็เป็นเพราะเรื่องนี้
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตู พร้อมทั้งเสียงมู่น่อนน่อนที่ดังตามมา “เฉินถิงเซียวคุณอยู่หรือป่าว?