ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 26 เชื่อฟังยิ่งกว่าสุนัขอีก
ตอนที่ 26 เชื่อฟังยิ่งกว่าสุนัขอีก
มู่น่อนน่อนนั่งรถไปที่บ้านตระกูลมู่
เวลาที่คนรับใช้เห็นหล่อน ถึงกลับทำความเคารพทันที “คุณหนูสาม”
การแสดงออกของคนรับใช้เปลี่ยนไป ก็ไม่ได้ยากที่จะเข้าใจ
เพราะตอนนี้หล่อนอยู่ในฐานะคุณนายน้อยของตระกูลเฉิน แถมตอนนี้ มู่หวั่นขียังใช้ชีวิตท่ามกลางข่าวสาร หากไม่ระมัดระวังก็จบชีวิตทางด้านนี้ไปเลย
“คุณพ่อคุณแม่อยู่หรือป่าว?” มู่น่อนน่อนพูดอ้ำๆอึ้งๆ ทำท่าทางว่ากำลังอารมณ์ดีอยู่
อารมณ์ของคนรับใช้ดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ “อยู่ครบทุกคน รอคุณอยู่ที่ห้องหนังสือ”
……
เวลาที่มู่น่อนน่อน ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ยังไม่ทันเดินเข้าห้อง เพราะว่าด้านในห้องมีเสียงสนทนาจึงได้หยุดเท้าลงทันที
“หวั่นขีทำไมแกถึงไม่มีความอดทนอดกลั้นเอาไว้เลย! มีเรื่องก็เรียกหล่อนให้มาคุยที่บ้านก็จบเรื่องแล้ว ไปคุยข้างนอกก็โดนคนแอบถ่ายเข้า ตอนนี้จะเข้าไปจัดการเรื่องมันก็ยุ่งยากไปแล้ว”
นี่เป็นเสียงของมู่ลี่เหยียน
น้ำเสียงของเขาถึงแม้ว่ากำลังด่าทอมู่หวั่นขีอยู่ แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่มู่หวั่นขีทำไปไม่มีอะไรผิดไปสักนิด
น้ำเสียงของมู่หวั่นขีดูน้อยใจเล็กน้อย “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา พ่อ ทั้งหมดนี่ต้องเป็นแผนของมู่น่อนน่อนแน่ๆ ! ไม่งั้นจะมีคนแอบถ่ายได้อย่างพอดิบพอดีได้ยังไงกัน”
ในเวลานั้นเอง เซียวชู่เหอรีบอธิบายอย่างร้อนรน “หวั่นขี เธอก็เข้าใจน่อนน่อนเป็นอย่างดี หล่อนโง่ขนาดที่ยังสอบไม่ผ่านเลย จะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไงกัน ไม่ใช่หล่อนทำแน่นอน หล่อนทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“โง่หรอ? ในปีนั้นหล่อนไม่ได้ใช้เส้นพ่อเลยด้วยซ้ำ ยังสอบเข้าคณะภาพยนตร์ของเมืองหู้หยางด้วยตนเองได้เลย คุณมาบอกว่าหล่อนโง่หรอ?”
คณะภาพยนตร์ของเมืองหู้หยางนั้น ถือว่าเป็นคณะศิลปศาสตร์อันดับต้นๆของประเทศ
“หล่อนก็แค่โชคเข้าข้างเท่านั้นแหละ เธออย่าโมโหไปเลย….”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามู่หวั่นขีพูดได้ถูกต้อง เซียวชู่เหอ นี่เลวจริงด้วย
ในคลิปวิดีโอนั้น มู่หวั่นขีก็ด่าว่าหล่อนเลว แต่เซียวชู่เหอไม่เพียงแต่ ไม่หักหน้ามู่หวั่นขี แถมตอนนี้ยังพูดยกยอปอปั้นหล่อนอยู่อีกต่างหาก กลัวว่าหล่อนจะโกรธ
ครั้งนี้มู่หวั่นขีน่าจะโมโหอยู่ไม่น้อยจริงๆ ปกติหล่อนจะรักษาหน้าให้ดูเป็นปกติเอาไว้กับเซียวชู่เหอ แต่ตอนนี้จะแกล้งจะรักษาหน้าต่อไปดูท่าก็เหนื่อยจะแกล้งต่อไปแล้ว
หล่อนถึงกลับสบถด่าพรวดใหญ่ “นี่คุณหุบปากไปเลย พวกแกเป็นแม่ลูกกันก็เลวด้วยกันทั้งคู่ ไร้ประโยชน์ทั้งคู่”
มู่น่อนน่อนกำลังจะเปิดประตูเข้าไป พอได้ยินประโยคนั้นขึ้นมาถึงนิ่งหยุดการกระทำทั้งหมด
หล่อนอยากจะฟังทัศนคติของมู่ลี่เหยียน
ภายในห้องกลับเงียบสนิท ในที่สุดก็มีเสียงสุขุมของมู่ลี่เหยียนดังออกมา “หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วน เราต้องรีบจัดการให้ดี มู่น่อนน่อนใกล้จะมาถึงแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะห่างกันแค่ประตูเท่านั้น แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่เห็นการแสดงออกของเซียวชู่เหอ แต่ว่าหล่อนก็รู้ดี ในเวลานี้การแสดงออกของเซียวชู่เหอนั้นช่างน่าสนใจมากทีเดียว
หลังจากที่ มู่ลี่เหยียนพูดออกมานั้น ในห้องก็เงียบสนิท
มู่น่อนน่อนพยายามเก็บอาการของอารมณ์ตนเองเอาไว้ พร้อมทั้งก้มศีรษะลงแล้วผลักประตูเข้าไป
หล่อนมองบรรยากาศรอบๆ พร้อมกลับหลุบตาลง อีกทั้งใช้เสียงเล็กเสียงน้อยเรียกพวกเขา “พ่อ แม่”
จากนั้นหล่อนก็เบนสายตาไปทางมู่หวั่นขี “พี่”
“หึ!” มู่หวั่นขีส่งเสียงอย่างเย็นชาตอบรับ สีหน้าแสดงออกถึงความเย็นชา “ไปยืนไกลขนาดนั้นทำไม เข้ามาสิ!”
มู่น่อนน่อนทำท่าราวกับกำลังหวาดกลัวอยู่ พร้อมทั้งเดินด้วยท่าทีเชื่องช้า
หล่อนมองไปทางเซียวชู่เหอตามนิสัยเคยชิน
ทว่าเซียวชู่เหอกลับหันหน้าไปอีกทางแทน แทบไม่สนใจหล่อนเลย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนถึงกลับหมดหวังทันที ช่วงที่หล่อนเตรียมตัวนั่งลงบนโซฟานั้น
อยู่ดีๆมู่หวั่นขีก็ยืนขึ้นพร้อมกับเสียงดัง “เพี๊ยะ” หล่อนง้างมือตบหน้ามู่น่อนน่อนฉาดใหญ่
เสียงดัง “เพี๊ยะ” ดังลั่น สะท้อนไปมาในห้อง
มู่น่อนน่อนถูกตบหน้าคว่ำ ใบหน้าร้อนแสบร้อน หล่อนเอื้อมมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตนเอง ใบหน้าหล่อนชาทั่วทั้งใบหน้า
ครั้งนี้มู่หวั่นขี ตบแรงพอตัว
หล่อนจ้องมองมู่น่อนน่อนที่ยังทำหน้าโง่ๆอยู่ เลยยังรู้สึกว่ายังไม่หายโกรธ เลยง้างมือเตรียมตบอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง พร้อมทั้งขยับมือที่อยู่ข้างลำตัว เตรียมพร้อมที่จะสู้กลับ
ในเวลานั้นเอง มู่ลี่เหยียนที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำก็พูดออกมา “พอแล้ว ! กลับมาพูดเรื่องประเด็นหลักก่อน!”
“พ่อ!”มู่หวั่นขีหันไปทางมู่ลี่เหยียน “เห็นหน้าแล้วโมโหนี่ หากไม่ใช่หล่อน ฉันก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้ในเวลานี้หรอก เมื่อกี้นี้เพื่อนๆก็ส่งข้อความมาถามว่าเรื่องข่าวที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตนั้นมันเรื่องอะไรกันแน่…”
มู่ลี่เหยียนยกมือเล็กน้อย แสดงท่าทีให้มู่หวั่นขี หยุดเข้ามายุ่มย่าม
หากพูดเรื่องภายในบ้าน คนที่มู่หวั่นขีเชื่อฟังที่สุด ก็ต้องเป็นมู่ลี่เหยียนอย่างแน่นอน
มู่ลี่เหยียนเป็นถึงประมุขของที่บ้าน แถมยังน่าเชื่อถือที่สุด
เขาฉงนคิ้วมองไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เธอพูดออกมาสิ คลิปวิดีโอที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตนั่นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา?”
ในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกขมขื่น การที่อยู่ด้านนอกเมื่อครู่นั่น มู่ลี่เหยียนตอนที่กำลังพูดคุยเรื่องตนเองอยู่นั้น เขาเรียกชื่อเต็มของเธอ “มู่น่อนน่อน ”แต่ตอนนี้กลับมาเรียกแค่ “น่อนน่อน”แทน
หล่อนเงยหน้าขึ้น ทำท่าทางหดหู่ให้ดูน่าสงสารเข้าไว้ พร้อมทั้งเสียงเล็กเสียงน้อย “พ่อคะ ฉันไม่รู้จริงๆว่าคลิปวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตนั้นมันเกิดเรื่องเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…”
พอพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงของหล่อนแข็งกร้าวขึ้น หล่อนสูดลมหายใจเข้าออก น้ำตาไหลออกมาจากกระบอกตาอย่างช้าๆ
แต่หล่อนก็ยังพยายามทำเสียงร้องไห้ ทำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจหันไปทางมู่หวั่นขีพลางพูดอธิบายให้เข้าใจ “พี่คะ พี่ต้องเชื่อฉันนะ ฉันจะทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน ฉันจะทำร้ายพี่ได้ยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ…”
มู่หวั่นขีมองมู่น่อนน่อนอย่างสงสัยแบบมีเล่ห์กล พยายามควานหาร่องรอยบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนที่กำลังโกหกอยู่
แต่ว่า ความเสียอกเสียใจของมู่น่อนน่อนที่แสดงออกมานั้นมันแทบไม่มีร่องรอยของอาการแกล้งเลยสักนิด
หล่อนได้แต่หันไปทางมู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนก็กำลังวิเคราะห์มู่น่อนน่อนอยู่เหมือนกัน
เขามักจะรู้สึกว่า ลูกสาวที่เขาไม่เคยสนใจขึ้นมาเลยสักนิด ราวกับว่าเมื่อแต่งเข้าตระกูลเฉินไปในวันนั้น ก็เหมือนมีสิ่งใดแปลกไป
แต่ในเวลานั้นเอง หล่อนยืนอยู่ด้านหน้า ยังหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเดิม และยังอ่อนแอคงเดิม
ขนาดมู่หวั่นขีที่เพิ่งตบหล่อนเข้าฉาดใหญ่ เตรียมพร้อมที่จะตบหล่อนอีกครั้ง หล่อนกลับไม่มีทีท่าจะหลบ แต่ทำไมการตอบสนองกลับของหล่อนถึงได้ช้าขนาดนี้ล่ะ?
คิดได้เช่นนี้ คำพูดของมู่น่อนน่อน ทำให้มู่ลี่เหยียนเชื่อไปเกินครึ่ง
การควบคุมคนโง่นั้น มันง่ายดายเหลือเกิน
มู่ลี่เหยียนเขารู้สึกผ่อนคลายพร้อมทั้งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงเข้มงวดพูดกับมู่น่อนน่อน “ใช่สิ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตามเราต่างคิดแทนครอบครัวเสมอ คนที่เข้าใจพี่สาวเธอผิดในเว็บไซต์นั้น และเรื่องที่เธอต้องทำนั้น ต้องอธิบายพวกเขาที่กำลังเข้าใจผิดให้เข้าใจอย่างชัดเจน”
เข้าใจผิดงั้นหรอ?
มู่หวั่นขีด่าหล่อนกับเซียวชู่เหอว่าเป็นคนเลว ด่าว่าพวกหล่อนเป็นหมาบ้าง พวกเขาร่วมมือกันบีบบังคับให้หล่อนแต่งเข้าบ้านตระกูลเฉิน ทั้งหมดนี่มันคือความเข้าใจผิดหรอ?
ผู้คนในโลกใบนี้ไม่มีคนทรยศในทางธุรกิจ ถือว่าพูดไม่ผิด มู่ลี่เหยียนถือว่ามีความสามารถในการพูดเรื่องผิดให้กลายมาเป็นเรื่องใสสะอาดได้เก่งจริงๆ
มู่น่อนน่อนจงใจตกใจจนเบิกตาโต ใบหน้าแสดงออกถึงความกังวลที่มองมายังมู่หวั่นขี “ฉัน..ฉันจะจัดการอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน พี่ไม่ต้องกังวลไป”
มู่หวั่นขี แสยะยิ้ม สายตาสื่ออาการดูถูกออกมาเล็กน้อย
ช่างเชื่อฟังเหมือนสุนัขจริงๆ
เซียวชู่เหอที่อยู่ข้างๆกลับไปไม่ได้รู้สึกยินดีตามพวกเขา หล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะหล่อนรู้สึก ว่ามู่น่อนน่อนมีอะไรบางอย่างแปลๆ
มุมปากมู่ลี่เหยียนปรากฏรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงอ่อนโยนเล็กน้อย “ต่อจากนี้ เราจะจัดงานให้สัมภาษณ์นักข่าว พอถึงเวลานั้น ทางเราจะให้เธอพูดอะไรออกมา เธอก็ต้องพูดตามนั้น”
“อื้อ” พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ในสายตาของมู่ลี่เหยียน นั้นช่างแสดงออกถึงความยินดี “พอแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เดี๋ยวอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับไป”
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ เพื่อซ่อนสายตาที่แสดงความเยาะเย้ยอยู่ “ได้ค่ะ