ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 69 ความผิดผมเอง
ตอนที่ 69 ความผิดผมเอง
ตอนค่ำเวลารับประทานอาหาร มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงสีหน้าแปลกๆ ของ “เฉินเจียฉิน”
จริงๆ แล้วปกติใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาก็มักจะเย็นชาแบบนี้อยู่แล้ว เวลาไม่พูดและทำหน้านิ่งแบบนี้จะเต็มไปด้วยความทรงอำนาจที่แลดูน่าเกรงกลัว
แต่ว่า แต่ระหว่างอารมณ์ตอนนี้ของเขาที่ไม่ต่างจากปกตินั้น ทำให้มู่น่อนน่อนดูออกว่าอารมณ์เขาไม่ดี
มู่น่อนน่อนคีบเนื้อปลาไปที่ถ้วยเขาชิ้นหนึ่ง “คุณชิมอันนี้ดู วันนี้ฉันใส่พริกป่าไป ไม่รู้ว่าคุณจะกินเป็นหรือเปล่า”
“เฉินเจียฉิน” ไม่ได้แตะต้อง คีบแล้วทิ้งไปบนโต๊ะทันที
มู่น่อนน่อน “…” แลดูแล้วเหมือนเธอจะเดือดร้อนเขาแล้วจริงด้วย
แต่ว่าเธอจำไม่ได้ว่าตัวเองได้เดือดร้อนเขาตรงไหน หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอเอากระเป๋าโยนไปที่เขา เขาเลยโกรธเหรอ?
คงไม่ต้องขนาดนั้นมั้ง ถึงแม้นิสัยชายหนุ่มจะใจแคบไปหน่อย แต่ในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ ปกติก็ไม่เคยใส่ใจ
รับรู้ได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังมองตัวเองอู่ เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา “วันศุกร์อาทิตย์ที่แล้วคุณไปไหนมา? ”
“อ๊ะ? ” มู่น่อนน่อนหลบสายตาจากเขาทันที ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ยินชัดเจนกับสิ่งที่เขาพูด
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ดวงตาดำครึม จ้องเธอไว้แน่นๆ แล้วพูดทีละคำอย่างช้าๆ เสียงดังชัดเจน “วันศุกร์อาทิตย์ที่แล้ว คุณไปที่ไหน ไปพบใคร”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปเลย เงยหน้ามองเขา “คุณหมายความว่ายังไง? ”
“เฉินเจียฉิน” ที่พูดด้วยน้ำเสียงสอบสวนนั้น ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจ
เขายิ้ม ดวงตาดูเย็นๆ “คุณเริ่มใจไม่ดีแล้วเหรอ? หรือว่าคุณได้ลับหลังพี่ชายผมไปหาผู้ชายคนอื่นข้างนอก? ”
“คุณพูดบ้าอะไร!” ถึงแม้คำนี้เขาไม่ได้พูดเป็นครั้งแรกแล้ว แต่น้ำเสียงในครั้งนี้ฟังดูแล้วเกินไปนิดหน่อย
มู่น่อนน่อนทิ้งตะเกียบไปที่โต๊ะแรงๆ “ซ่า” ทีหนึ่งลุกขึ้นมา “ถึงแม้ฉันจะถูกขายด้วยสามร้อยล้านให้ตระกูลเฉินพวกคุณ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนที่สกุลเฉินคนใดคนหนึ่งก็สามารถเข้ามายุ่งเรื่องฉันได้ มาชี้ว่าฉัน!”
เธอพูดจบพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างโกรธ
ระหว่างที่เดินไปถึงประตู เธอยังไปชนราวประตูอย่างไม่ระวัง หงุดหงิดจนเธอแทบแย่
เฉินถิงเซียวก็ไม่มีความอยากอาหารแล้ว วางตะเกียบลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
สายที่โทรมาคือสือเย่ “คุณชายครับ ผมได้ส่งข้อมูลวิดีโอของวันนั้นไปที่เมลคุณแล้วครับ”
“อืม ลำบากแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดจบพลางวางสายไป แล้วลุกเดินไปที่ห้องทำงาน
วิดีโอจากกล้องวงจรที่สือเย่ส่งมาเป็นเวลาวันศุกร์ของอาทิตย์ที่แล้วในร้านยา
ในวิดีโอมีคนที่มู่น่อนน่อนเคยเจอ นอกจากหมอที่เอายาให้เธอแล้ว ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกสองคน
หนึ่งในนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ติดอาวุธ และสวมหมวกหมวกแก๊ปลิ้นเป็ด เฉินถิงเซียวดูออกในแวบแรกเลย เขาคือซือเฉิงหยู้
โลเคชั่นร้านยาร้านนี้ไกลออกจากในเมืองพอได้ มู่น่อนน่อนไม่มีธุระคงไม่ออกไปถึงที่นั่น และบริษัทซื่อได้โปรโมทของใช้ประจำวันในช่วงนี้ด้วย มู่น่อนน่อนไม่จำเป็นต้องไปถึงนอกเมือง
ในคริปนั้นเห็นมู่น่อนน่อนจับมือซือเฉิงหยู้ไว้ แลดูว่ากำลังร้องของให้ช่วยเหลือ
ต่อมาเธอถูกซือเฉิงหยู้้พาไปเลย
วิดีโอที่ต่อจากนั้นแสดงให้เห็นว่า มู่น่อนน่อนมาถึงใจกลางเมือง ก็ลงรถแล้ว นอกจากตอนลงรถทั้งสองคนพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็ไม่ได้มีท่าทีเกินเขตอะไร
ภาพวิดีโอจับไปที่ภาพตอนมู่น่อนน่อนเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เฉินถิงเซียวอยากดูให้ชัดว่าเธอพูดอะไร แต่วิดีโอที่ถูกขยายจนใหญ่สุด ก็ไม่ชัดเจน เพียงแต่รู้ว่าเธอพูดไปไม่กี่คำ ส่วนเนื้อหาที่พูดคืออะไร ก็ไม่สามารถแยกออกมาได้
เฉินถิงเซียวปิดโน๊ตบุ๊คลง ยื่นมือบีบกลางคิ้วไว้
เขารับรู้ว่าช่วงนี้ตัวเองแปลกจากปกติไป
ซือเฉิงหยู้เพียงแค่ถามถึงเรื่องมู่น่อนน่อนไม่กี่คำ เขากลับถึงต้องรีบร้อนนักที่ให้คนไปสืบเรื่องพวกนี้…
……
มู่น่อนน่อนพอนอนถึงเที่ยงคืน ถูกความหิวทำให้ตื่น
เธอเสียใจแล้ว จะโกรธมากแค่ไหนก็ห้ามเอาท้องลงโทษตัวเองสิ!
สุดท้ายก็อดไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอพลิกตัวลงจากเตียง คลุมเสื้อผ้าร่มหนาๆให้ตัวเองอย่างแน่นแน่น เตรียมตัวลงไปหาของกินห้องครัวชั้นล่าง
คฤหาสน์ตอนเที่ยงคืนนั้นช่างเงียบสงบ แต่เนื่องด้วยคฤหาสน์อยู่ครึ่งตีนดอย บางครั้งเลยได้ยินเสียงของลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอก
เธอเดินมาถึงห้องครัวอย่างไม่ช้า หาผ้ากวางตุ้งและมะเขือเทศ เตรียมจะต้มเส้นให้ตัวเอง
ระหว่างที่เธอกำลังหั่นมะเขือเทศนั้น ก็รู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ เหมือนมีอะไรแปลกๆ ราวว่ามีคนอยู่ด้านหลังเธอ
ความรู้สึกแบบนั้นยิ่งอยู่ยิ่งชัดมากขึ้น เธอหลับตาลง ตั้งสติให้ตัวเองมีกำลังใจเพื่อหันกลับไปมอง พลางได้ยินเสียงที่ไร้อุณหภูมิดังจากด้านหลัง “คุณกำลังทำอะไร? ”
มู่น่อนน่อนตกใจจนมือสั่น มีดในมือตกไปที่เท้าของเธอ
โชคดีที่เธอสวมรองเท้าผ้านุ่มหนาๆ ไว้ ไม่งั้นเธอต้องแย่แน่ๆ
เฉินถิงเซียวตอนเห็นมีดตกหล่น ใจหวิวปลุกขึ้นมาเลย ย่อลงไปดูว่าเธอได้รับบาดเจ็บไหม พอแน่ใจว่าไม่ได้บาดโดนเท้าที่ถูกห่มด้วยอย่างหนา ถึงได้ลุกขึ้นอย่างโล่งอก แล้วพูดด้วยเสียงเข้มต่ำ “มู่น่อนน่อน ผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่โง่กว่าเธอขนาดนี้มาก่อน!”
มู่น่อนน่อนได้ตั้งตัวกลับมานานแล้ว เธอเก็บมีดขึ้นมา จ้อง “เฉินเจียฉิน” ทีหนึ่ง หันแล้วเกินไปที่ก๊อกน้ำ ล้างมีดไปด้วยพูดไปด้วย “ช่างลำบากคุณนายเฉินจริงๆ ค่ะ ที่ต้องกินกับข้าวที่ผู้หญิงโง่ๆ อย่างฉันทำ หรือว่าเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว ฉันยังสามารถย้ายออกจากคฤหาสน์ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะกลับมา ให้คุณเจอไปเลย คุณว่าได้ไหม? ”
มู่น่อนน่อนวางมีดที่ล้างสะอาดแล้วกลับไปที่เดิม หันกลับมามอง “เฉินเจียฉิน” ไว้ด้วยหน้าจริงจัง
เธอช่างทน “เฉินเจียฉิน” ชายหนุ่มคนนี้มามากพอแล้ว
เขาเคยช่วยเหลือเธอก็จริง เธอเองก็มีความซาบซึ้งจากใจ แต่ส่วนไหนก็เป็นส่วนนั้น มันไม่อาจเนื่องด้วยเหตุผลที่เขาเคยช่วยเธอแล้วเขาก็สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของเธอแทนเธอได้
“ไม่ได้” เฉินถิงเซียวหน้าเข้มไว้ พูดอย่างเย็นชา “คุณอยากให้พี่ชายผมเข้าใจผิดว่าผมไล่คุณออกไป เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องเราแตกเเยกกันเหรอ? ”
“แล้วแต่คุณจะคิด” มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง ไม่อย่าถกเถียงกับเขาแล้ว
มุมที่เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่บังแสงไว้ ส่วนมู่น่อนน่อนคือยืนหันหน้าตรงกับแสงไว้ ฉะนั้นแล้วใบหน้าอารมณ์ของเธอเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่อาจพ้นสายตาเขาได้
และเป็นเพราะตอนตื่นมาในเที่ยงคืน ผมเธอมีความยุ่งบ้าง เสื้อคลุมผ้าร่มที่ยาวนั้นรูดซิปมาถึงคอ ใบหน้าที่ถูกส่องอยู่ภายใต้แสงทำให้ผิวเธอขาวจนสว่าง ดวงตาแมวที่ปกติกลมโตนั้น ตอนนี้ถูกหนังตาที่ทำตาหยีไว้บังไปครึ่งหนึ่ง ทั้งคนดูเศร้าๆ ขึ้นมาเลย
มู่น่อนน่อนรู้สึกนานจนเหมือนผ่านไปหนึ่งศตวรรษ ถึงได้ยินเสียงชายหนุ่มตรงหน้านี้เเฝงน้ำเสียงอารมณ์ “ก่อนหน้านี้ เป็นความผิดของผม”
“อะไรนะ? คุณพูดอีกรอบ? ” มู่น่อนน่อนเงยหน้าทันที มอง “เฉินเจียฉิน” ไว้อย่างอึ้งทึ่งนี่เขากำลังขอโทษเธออยู่เหรอ?แต่ว่า “เฉินเจียฉิน” จะพูดอีกรอบสักที่ไหนได้เล่า เขามองมะเขือเทศที่ถูกหั่นไปครึ่งหนึ่งในเขียงทีหนึ่ง แล้วทำหน้าอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมก็จะกินด้วย”
มู่น่อนน่อนที่มีความโกรธนั้นหายไปเกือบครึ่ง แต่ก็ยังคงเคยชินที่จะโต้กลับไป “ฉันวางยาพิษไปแล้ว คุณยังกินไหม? ”
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสายตาเข้มๆ “คุณกินผมก็กินครับ”
“…” โรคจิต