ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 243 เธอต้องชดใช้
คุณปู่เฉินขมวดคิ้วพูดว่า “พวกเราทานกันก่อนเถอะ”
มื้อเที่ยงวันนี้ มีการแจ้งเตือนให้ทุกคนในตระกูลมาทานด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่
แม้ว่าคุณปู่เฉินจะเกษียณไปแล้ว แต่เขาเป็นตระมุขของตระกูล เขามีอำนาจสิทธิ์ขาดและอำนาจทางวาจาในตระกูลเฉิน
ทุกคนต้องเคารพเขา
แน่นอนว่ายกเว้นเฉินถิงเซียว
แม้แต่คุณปู่เฉินก็ไม่มีทางจัดการกับเขาได้
คุณปู่เฉินเป็นคนหัวโบราณ โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับวันตรุษจีน
เมื่อมู่น่อนน่อนมาที่นี่ในตอนเช้า คุณปู่เฉินก็ส่งคนมาบอกว่าวันนี้และพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร อย่าลืมมาทานข้าวร่วมกับทุกคนในตระกูล
พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นปี วันมะรืนเป็นวันแรกของปีใหม่
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ ในช่วงต้นปีใหม่จะมีแขกจำนวนมาก ทุกคนต่างยุ่ง
แต่ซือเฉิงหยู้กลับไม่ได้มาทานอาหารเที่ยงวันนี้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณปู่เฉินจะไม่พอใจมาก
มู่น่อนน่อนเกิดความคิดมุ่งร้าย ถ้าคุณปู่เฉินรู้ว่าซือเฉิงหยู้ไปรับมู่หวั่นชีออกจากคุกในวันนี้ ไม่รู้ว่าอารมณ์จะเปลี่ยนไปแบบไหน
จะโกรธจนให้คนตีซือเฉิงหยู้เลยหรือเปล่า
กระทั่งพวกเขาทานอาหารเสร็จแล้ว ซือเฉิงหยู้ถึงได้รีบเร่งกลับมา
“คุณปู่ครับ”
ซือเฉิงหยู้เดินเข้ามาจากข้างนอก ท่าทางรีบเร่ง มองออกได้ว่ารีบกลับมา
คนโต๊ะใหญ่เพิ่งทานเสร็จยังไม่ได้ออกไป
คุณปู่เฉินเงยหน้าเหลือบมองซือเฉิงหยู้ น้ำเสียงหนักแน่น “ยังรู้ว่าต้องกลับมางั้นเหรอ!”
เขาใบหน้าแข็งกร้าว เลิกคิ้วสูง นั่งตัวตรงในตำแหน่งหัวโต๊ะ น่าเกรงขามไม่แสดงอารมณ์โกรธ
มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะยืดหลังนั่งตัวตรง ดวงตาคมของเธอพบว่าซือเฉิงหยู้สั่นไปทั้งตัว
ขิงแก่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน
ที่แท้ซือเฉิงหยู้ก็กลัวคุณปู่เฉิน
“ขอโทษนะครับคุณปู่ งานมันมีความล่าช้านิดหน่อยครับ” ซือเฉิงหยู้ก้มศีรษะต่ำ ท่าทางนอบน้อมเชื่อฟัง นั่นทำให้คุณปู่เฉินโกรธน้อยลง
ถึงแม้คุณปู่เฉินจะโกรธน้อยลงแล้ว แต่น้ำเสียงยังค่อนข้างแข็งกร้าว “วงการบันเทิงมันฉาวโฉ่ มีแต่ข่าวคาวออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แกอยู่ในวงการนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเสียชื่อเสียง ไม่สู้ถอนตัวออกมาทำอย่างอื่นเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
มู่น่อนน่อนสะกิดมือเฉินถิงเซียวที่ใต้โต๊ะ
เฉินถิงเซียวหันหน้ามองเธอ
มู่น่อนน่อนอ้าปากพูดโดยไร้เสียง “แล้วคุณล่ะ”
เฉินถิงเซียวก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ คุณปู่เฉินก็ไม่ชอบ
เฉินถิงเซียวบีบนิ้วมือของมู่น่อนน่อน เหล่มองเธออย่างตักเตือน
มู่น่อนน่อนยิ้มตาปิดเงียบๆ เฉินถิงเซียวหันหน้าหนีไปพูดกับคุณปู่เฉิน “คุณปู่ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย กลับห้องก่อนนะครับ”
เขาพูดจบ ไม่รอให้คุณปู่เฉินอนุญาต ก็ดึงมู่น่อนน่อนลุกขึ้นเพื่อออกไป
คุณปู่เฉินไม่สามารถควบคุมเฉินถิงเซียวได้ ที่เฉินถิงเซียวเต็มใจกลับมาบ้านเก่าในช่วงตรุษจีนเขาก็พอใจมากแล้ว โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่ใส่ใจว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไรในแบบของตัวเอง
ซือเฉิงหยู้หันไปเหล่ตามองทั้งคู่ แววตามีความไม่พอใจ
เขาแค่ไม่ได้กลับมาทานข้าวเท่านั้นเอง ก็ต้องถูกคุณปู่ตำหนิแบบนี้ แต่เฉินถิงเซียวกลับทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร
คุณปู่มักจะรักแต่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนที่ถูกเฉินถิงเซียวพาไป ก็ทำตัวเชื่อฟังเหมือนนกกระทา ตามเขาไปโดยไม่มีการล่อกแล่ก
ตอนที่ทั้งสองเดินเร็วออกจากห้องอาหาร ก็ได้ยินเสียงเฉินชิงเฟิงดังขึ้นข้างหลัง
“คุณพ่อครับ ผมว่าไม่สู้ให้เฉิงหยู้ไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ เขาสนิทกับถิงเซียวตั้งแต่เด็ก ถิงเซียวเพิ่งไปบริษัทเฉินซื่อไม่นาน มีคนเชื่อถืออยู่ข้างกายไม่กี่คน ถิงเซียวจะได้มีคนดูแล”
ถ้ามันเกิดขึ้นเดือนที่แล้ว เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดนี้ของเฉินชิงเฟิง แน่นอนว่าต้องเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่ว่าพวกเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ได้ทำลงไปช่วงนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาทำตัวเป็นศัตรูกับซือเฉิงหยู้ งัดข้อกับเฉินถิงเซียวไปทุกอย่าง
ครั้งก่อนตอนที่อยู่บ้านเก่า เฉินชิงเฟิงก็เคยพูดเรื่องนี้
ที่เฉินชิงเฟิงพูดในตอนนั้น แทบจะเป็นความหมายในเชิงว่าให้เฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ดูแลซึ่งกันและกัน
และเฉินถิงเซียวก็แสดงทัศนคติของตัวเองชัดเจน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เฉินชิงเฟิงจะพูดออกมาต่อหน้าคุณปู่เฉิน
นี่มันชัดเจนเลยไม่ใช่เหรอว่าต้องการอาศัยคุณปู่เฉินบังคับให้เฉินถิงเซียวทำงานร่วมกับซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเฉินชิงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงไม่ค่อยดีนัก เฉินชิงเฟิงเหมือนก็ต้องการซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก
แต่บางครั้ง สิ่งที่เฉินชิงเฟิงทำไม่เหมือนอยากซ่อมแซมความสัมพันธ์กับเฉินถิงเซียวเลย
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างหน้าหยุดก้าวเดิน
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ก็ได้เห็นเขาหันมา
เธอคิดว่าเขาจะพูดอะไร ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวเพียงเหล่มองเฉินชิงเฟิงด้วยรอยยิ้มเยาะ
ทั้งคู่กลับเข้าห้อง เฉินถิงเซียวถอดเสื้อคลุมแล้วนั่งลงบนโซฟา มีบางอย่างในสายตา แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และก็เหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไรเลย
มู่น่อนน่อนถามเขา “กำลังคิดเรื่องที่คุณพ่อคุณเพิ่งพูดเหรอ”
“เปล่า” เฉินถิงเซียวส่ายหน้า
“แล้วคุณกำลังคิดอะไรอยู่” มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งลงข้างเขา และมองเขา
เฉินถิงเซียวเอาเธอไปกอดไว้ในอ้อมแขน คางวางลงบนหน้าผากของเธอ พลางพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร”
“โกหก” มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วไปกดตรงระหว่างคิ้วของเขาที่ขมวดแน่น และส่ายหน้าพูดว่า “ตรงนี้ทรยศคุณหมดแล้ว”
เฉินถิงเซียวจับจ้องมองเธออยู่สองวินาที แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา กระชับแขนของเธอให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงว่า “มีเรื่องที่เสียใจภายหลังนิดหน่อย น่าจะทรมานมู่หวั่นชีจนตายไปซะตั้งแต่แรกจะได้ขจัดปัญหาที่จะตามมาให้สิ้นซาก”
มู่น่อนน่อนชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน
มู่หวั่นชีอยากจัดการเธอให้ตาย เธอเองก็เกลียดมู่หวั่นชี แต่เธอก็ไม่เคยคิดวิธีการเอาชีวิตมู่หวั่นชีเลย
ชีวิตควรได้รับการให้ความสำคัญ ไม่มีใครมีสิทธิ์จบชีวิตผู้อื่นได้ตามใจชอบ
เป็นแนวคิดที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของมู่น่อนน่อน
อีกอย่าง มู่หวั่นชียังเป็นพี่สาวที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอด้วย
เธอจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อให้มู่หวั่นชีถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ไม่ได้อยากให้เฉินถิงเซียวใช้วิธีของตัวเองจัดการกับเธอ
“กลัวเหรอ” เฉินถิงเซียวยื่นมือไปลูบใบหน้ามู่น่อนน่อน “คุณยังไม่เคยเห็นผมฆ่าคนสินะ”
เสียงของเขาแผ่วเบา ถึงขั้นฟังดูนุ่มนวลกว่าน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ตามปกติเสียอีก
แต่ที่มู่น่อนน่อนได้ยินในหูกลับฟังแล้วรู้สึกเย็นเยือก
มู่น่อนน่อนหาเหตุผลมาโน้มน้าวเขา “เธอจะได้รับการลงโทษที่ควรเป็น คุณ…”
“การลงโทษที่ควรเป็นงั้นเหรอ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเยาะ พูดเหน็บแนมอย่างเย็นชาว่า “การลงโทษที่เข้าคุกไปสิบวันแล้วถูกปล่อยตัวออกมาน่ะเหรอ”
เพียงสิบวันเท่านั้น เขาจะสามารถระงับความโกรธภายในใจได้อย่างไร
แค่นิดเดียว เขาก็จะเสียภรรยาและลูกไปแล้ว
ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งเขาได้
เธอรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ควรเป็นแบบนี้
เธอก็รู้สึกว่าโทษของมู่หวั่นชีเบาเกินไป แต่เธอก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาด้วยวิธีรุนแรงได้ตลอด
เฉินถิงเซียวจูบลงบนหน้าผากของเธอ เสียงค่อนข้างขุ่นมัว “เธอต้องชดใช้