ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 246 ความจริง ความลับที่ไม่สามารถบอกได้
เฉินถิงเซียวไปที่ห้องของคุณปู่เฉิน
คนรับใช้ที่เฝ้าประตู เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวก็โค้งคำนับร้องเรียก “คุณชาย”
หลังจากนั้นก็ช่วยเฉินถิงเซียวเปิดประตู
ทันทีที่เฉินถิงเซียวก้าวเท้าเข้าไป คนรับใช้ก็ปิดประตูตามหลัง
คุณปู่เฉินยังนั่งอยู่บนโซฟา เงยหน้าขึ้น เอนหลังพิงพนักโซฟา ในทีวีเป็นการแสดงงิ้ว เสียงไม่ดังมาก
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้พบว่าคุณปู่เฉินหลับตางีบไปแล้ว
ไม่ทันที่เฉินถิงเซียวจะส่งเสียง คุณปู่เฉินก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มีความขุ่นมัวในดวงตาที่เฉียบคมอยู่เป็นนิตย์
เขาจ้องมองเฉินถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะตกใจ รูม่านตาหดตัวอย่างรุนแรง
แต่ในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็กลับคืนสู่ความชัดเจน
“มาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแห้ง ในขณะที่เฉินถิงเซียวได้ยินนั้นกลับรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้พูดกับเขา
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วนั่งลงตรงข้ามคุณปู่เฉิน เพ่งมองคุณปู่เฉินอย่างละเอียด
เขานึกถึงก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไป ซึ่งมีท่าทีลังเลอยากจะพูดอะไรกับเขา ตอนนี้มาเห็นท่าทีคุณปู่เฉินแบบนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
เขาสามารถหยิ่งผยองต่อหน้าคุณปู่เฉินได้โดยที่ยังได้รับการอดทนจากคุณปู่เฉิน หลักใหญ่ใจความเป็นเพราะคุณปู่เฉินรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหมือนกับเขา โดยธรรมชาติแล้วจึงยิ่งรักเขา และไม่สนใจความหยิ่งผยองของเฉินถิงเซียว
โดยปติแล้วคุณปู่เฉินเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่ง่ายที่จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น
เฉินถิงเซียวเห็นว่าคุณปู่เฉินมีสไตล์ของผู้ปกครองที่เป็นคนจริงพูดคำไหนคำนั้น เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าและความอ่อนแอที่เห็นได้ชัดของชายชราตรงหน้านี้ จึงค่อนข้างประหลาดใจ
คิ้วของเฉินถิงเซียวยิ่งขมวดแน่น เอ่ยถามเขาตรงๆ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขากับคุณปู่เฉินเป็นคนสองคนที่ต่างคนต่างไม่ยอมรับกัน ถึงเป็นปู่หลานแต่บ่อยครั้งก็เหมือนเป็นมิตรภาพต่างวัยซึ่งเป็นคู่แข่งกัน
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้คุณปู่เฉินไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่ ทำให้เขาค่อนข้างห่างเหินกับคุณปู่เฉิน แต่หัวใจของเขายังคงห่วงใยคุณปู่เฉินเสมอ
คุณปู่เฉินไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่ โดยธรรมชาติแล้วต้องมีเหตุผล แต่ไม่น่าจะใช่ว่าเพราะเรื่องของแม่เกี่ยวพันกับคุณปู่เฉิน
“พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่ หลังปีใหม่ฉันก็อายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี ช่วงชีวิตน้อยลงไปอีกหนึ่งวัน จึงอยากคุยกับแกให้มาก” คุณปู่เฉินมองเขา ในแววตายากจะเห็นอารมณ์
น้ำเสียงของคุณปู่เฉิน ทำให้เฉินถิงเซียวค่อนข้างหงุดหงิด จึงพูดอย่างทนไม่ไหว “มีอะไรก็รีบพูดเถอะครับ”
คุณปู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพราะน้ำเสียง กลับกันยังพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ในบรรดารุ่นหลังของตระกูล แกกับเสี่ยวฉินมีความจริงใจที่สุด คนที่ทำเรื่องใหญ่ได้ จริงใจเกินไปไม่ได้”
“น่อนน่อนอายุยังน้อย บุคลิกลักษณะนิสัยแตกต่างจากแกมาก เป็นเด็กดี แต่ในฐานะภรรยา ฉันคิดว่าเธอไม่เหมาะสม…”
เห็นเฉินถิงเซียวเลิกคิ้วกำลังจะอารมณ์เสีย คุณปู่เฉินจึงยิ้มและพูดว่า “ฉันยังพูดไม่จบเลย รีบร้อนอะไร!”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเยาะ ถอยหลังไปเอนพิง รอเขาพูดต่อไป
“มีความอดทนไม่เลว ให้เธอดูงิ้วเป็นเพื่อนฉันหนึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีที่จะไม่อดทน จิตใจดี แล้วก็สวยมากด้วย ตอนที่ฉันยังหนุ่ม เมื่อเห็นสาวสวยขนาดนี้ ก็จะใจสั่นนะ”
ครึ่งแรกประโยคก็ยังดี แต่ครึ่งหลังประโยคเฉินถิงเซียวฟังแล้วไม่ถูกหู
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว สีหน้าเย็นชา “คุณปู่ พูดดีๆ ครับ”
คุณปู่เฉินเลิกคิ้ว ‘ตุ้บ!’ฝ่ามือตบลงบนโซฟา ชี้เฉินถิงเซียวแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กบ้า ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นปู่ของแกนะ ตอนเด็กที่อุ้มแก แกฉี่ใส่ฉันฉันยังไม่ตีแกเลย ตอนนี้มีเมียแล้วยังมองฉันในแง่ร้ายอยู่อีกเหรอ ถ้าแกเก่งนักเวลาอยู่ต่อหน้าน่อนน่อนก็ลองพูดกับเธอแบบนี้ดูไหมล่ะ”
ชายชราท่าทางอารมณ์ดีมีชีวิตชีวามากจนเห็นได้ชัด
เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะ พูดด้วยสีหน้าท่าทีมั่นใจในตัวเองเช่นเดิม “เธอเป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ ต้องปล่อยไปไม่เอาความ ถ้าคุณแก่ขึ้นอีกยังเปรียบเทียบกับสาวน้อยตัวเล็กๆ อยู่อีกหรือเปล่า”
คุณปู่เฉินโกรธมากจนหยิบเอารีโมตที่วางบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าขว้างใส่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่สามารถหลบได้ เขาโดนรีโมตกระแทกใส่เต็มๆ เจ็บจนต้องสูดหายใจแรง
เฉินถิงเซียวกดตรงจุดที่โดนรีโมตกระแทก “พูดกับผมไม่ได้ก็ลงมือเหรอครับ”
แต่คุณปู่เฉินกลับสีหน้าอดกลั้น ใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างที่เฉินถิงเซียวไม่เคยได้ยินมาก่อน “ถิงเซียว ปีนี้ผ่านไปอย่างสงบสุข เรื่องที่แกอยากรู้ ตราบใดที่ฉันรู้แน่ชัดแล้ว ฉันจะบอกแกทุกอย่าง”
ตอนแรกชายชราพูดเยอะมาก แต่สิ่งที่อยากพูดที่สุดก็คือประโยคนี้
เฉินถิงเซียวตัวแข็งอยู่กับที่ ผ่านไปนานมากก็ไม่มีปฏิกิริยา
สองคนจ้องกันอยู่เป็นนานสองนาน เฉินถิงเซียวถึงได้นั่งตัวตรง หาเสียงของตัวเองกลับมา “รวมถึงเรื่องคุณแม่ของผมด้วยเหรอครับ”
คุณปู่เฉินพยักหน้า “ใช่ รวมทั้งเรื่องแม่ของแกด้วย”
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง รู้ว่าในเมื่อคุณปู่เฉินสัญญาแล้ว จะไม่มีการกลับใจ
เขาเม้มริมฝีปากก่อนจะส่งเสียงตอบ “ครับ”
……
ออกมาจากที่คุณปู่เฉินอยู่ เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว มันดึกแล้ว
โคมไฟติดผนังทางเดินเปิดอยู่ แสงไฟสลัว บางครั้งมีคนรับใช้เดินผ่านมาก็โค้งทักเขา
“คุณชาย”
“อืม”
เฉินถิงเซียวก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า
เรื่องของแม่ปีนั้น เขามั่นใจว่าคุณปู่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง แต่อาจจะรู้อะไรบางอย่าง
เรื่องที่คุณปู่รู้ เป็นไปได้สูงว่าจะรู้หลังจากคดีลักพาตัว
ตอนที่เขาพามู่น่อนน่อนกลับมาบ้านเก่าครั้งแรก คุณปู่สั่งไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่
ในเมื่อคุณปู่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้นที่เขาห้ามเฉินถิงเซียวไม่ให้สืบเรื่องแม่จึงมีเพียงเหตุผลเดียว…
คุณปู่กลัวว่าเขาจะรู้ความจริง
ความจริง อาจเป็นความลับที่ไม่สามารถบอกได้
บางทีอาจเป็นความลับที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงของเรื่องนี้ มันหนักหนาสาหัสมากจนแม้แต่คุณปู่ที่ผ่านมรสุมมานักต่อนักก็ไม่อาจทนรับได้
แต่ตอนนี้คุณปู่ยินดีที่จะบอกความจริงแก่เขา
แล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันที่ส่งผลกระทบกับคุณปู่
เมื่อเฉินถิงเซียวได้สติ ก็พบว่าตัวเองเดินไปถึงประตูห้องแล้ว
“คุณชาย ยังไม่นอนเหรอคะ”
มีคนรับใช้เดินผ่านมาอีก
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไปมองคนรับใช้
คนของตระกูลเฉินมีมากมาย คนรับใช้ก็มีจำนวนมาก
แต่คนจำนวนมากนั่นมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา
เขาหันกลับมามองไปยังประตูตรงหน้า
มีเพียงผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในห้องนี้ ถึงจะทำให้เขารู้สึกสบายใจจริงๆ
เขาผลักประตูเข้าไป มู่น่อนน่อนก็เดินเข้ามาหาทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณปู่พูดอะไรกับคุณ คุณก็รู้สึกว่าท่านแปลกไปใช่ไหม”
เห็นได้ชัดว่าเธอรอเขากลับมา ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทันทีที่เขาเข้าประตูก็เอาแต่ถามไม่หยุด
เฉินถิงเซียวเพียงแค่เดินเข้าไปในห้องโดยไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นดูสีหน้าของเขา พบว่าเขาที่ไปห้องคุณปู่เฉินแล้วกลับมาก็แปลกไปเช่นกัน