ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 253 ตระกูลเฉินไม่มีใครดี โดยเฉพาะคุณ!
และคนที่จัดฉากนี้คือใครกัน
มีจุดประสงค์อะไร
เป็นคนตระกูลเฉินหรือไม่
ถ้าหากเป็นคนตระกูลเฉิน ทำไมเขาถึงทำได้ขั้นที่ใช้คุณท่านเฉินเป็นตัวดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปอยู่ในฉากเกม
ทำไมถึงต้องเป็นวันแรกของการขึ้นปีใหม่
มู่น่อนน่อนพลางครุ่นคิดคำถามเหล่านี้ พลางเดินไปที่ห้องของคุณท่านเฉิน
เมื่อวันก่อน เธอยังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟากับคุณท่านเฉินอยู่เลย คุณท่านเฉินยังให้เธอกับเฉินถิงเซียวต้องดีต่อกัน
แต่ผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น คุณท่านเฉินกลับมานอนโคม่าอยู่ในโรงห้องผ่าตัด
มู่น่อนน่อนรู้สึกแน่นหน้าอก
เธอหันหลังเดินออกไป : “ไปกันเถอะ”
สือเย่ยังคงเดินตามหลังเธอ
เธอกลับไปที่ห้อง สือเย่เฝ้าอยู่ที่หน้าห้อง
ตอนที่กำลังปิดประตู เธอหันหน้ามาคุยกับสือเย่หนึ่งประโยค :“ลำบากแล้วนะ”
เพราะเป็นถึงวันแรกของปีใหม่ สือเย่กลับยังถูกเฉินถิงเซียวเรียกตัวออกมา
“คุณหญิงน้อยเกรงใจแล้วครับ คุณผู้ชายเชื่อใจในตัวผม ผมถึงได้มาทำงานแทนกับเขาในเวลาแบบนี้” สือเย่คำนับเบา ๆ ท่าทางยังคงระวังสุขุมเยือกเย็น
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปาก และเข้าห้องไป
……
จนกระทั่งฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมา
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์มา อยากจะโทรถามเฉินถิงเซียวถึงสถานการณ์
ถึงแม้ในใจเธอจะคิดว่า คำพูดของเฉินถิงเซียวที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ได้มาจากใจ แต่ว่าเธอก็ยังไม่กล้าโทรอยู่ดี
เธอไม่อยากได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว
เมื่อก่อนที่เธอมีช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในบ้านตระกูลมู่ เธอก็ยังไม่รู้สึกว่าจะทุกข์มากขนาดนี้
ตอนนี้แค่ได้เสียงที่เย็นชาของเฉินถิงเซียวที่พูดกับเธอ เธอกลับรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจ
เธอถูกเฉินถิงเซียวตามใจมากเกินไปแล้ว
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทันใด
มู่น่อนน่อนแอบดีใจ คิดว่าเฉินถิงเซียวกลับมาแล้ว จึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
ประตูถูกเปิดออก มู่น่อนน่อนมองผู้ที่มาอย่างชัดเจน ความดีใจที่มีได้มลายหายไปสิ้น
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกหน้าประตูไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นคนรับใช้ที่มาส่งอาหารให้เธอ
มู่น่อนน่อนถามคนรับใช้ว่า : “คุณผู้ชายยังไม่กลับมาเหรอ”
คนรับใช้แค่เพียงส่ายหน้า วางจานอาหารลงแล้วหันหลังจากไป
ตอนที่เปิดประตูนั้น เธอสังเกตเห็นสือเย่ยังคงพาบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
เธอเปิดประตูอีกครั้ง ถามสือเย่ว่า : “เฉินถิงเซียวมีโทรมาคุยอะไรกับนายไหม”
“ไม่มีครับ” สือเย่ก้มหน้าลง ไม่หันไปมองใบหน้าที่ผิดหวังของมู่น่อนน่อนอีก
สุดท้ายเธอไม่ได้โทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
และก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะนอน จึงหยิบผ้าห่มห่อตัวพักผ่อนอยู่บนโซฟา
หลังจากที่สะลึมสะลือจนหลับใหลไป ก็รู้สึกเหมือนที่ห้องมีคนเดินเข้ามา
ถึงแม้ว่าคนที่เดินนั้นจะพยายามเดินให้เสียงเบาที่สุด แต่มู่น่อนน่อนก็ยังคงได้ยิน และยังตื่นขึ้นมา
ลืมตาขึ้น ภาพที่สะท้อนผ่านม่านตาเข้ามาคือรูปร่างที่สูงโปร่งของเฉินถิงเซียว
เวลานี้เฉินถิงเซียวค่อย ๆโน้มตัวมาหาเธอ มือข้างหนึ่งค่อยๆยกขึ้น และก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
มู่น่อนน่อนจึงลุกขึ้นนั่งตัวตรง : “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวจึงยืนตัวตรงขึ้น จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก : “ทานอาหารเย็นแล้วเหรอ”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และถามเขา: “คุณปู่ล่ะ ท่าน……”
เธอพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็เงียบลง
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา : “การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่ว่ายังไม่พ้นช่วงขีดอันตราย อาจจะฟื้นขึ้นมาภายในสี่สิบแปดชั่วโมง หรืออาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
มู่น่อนน่อนรีบเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว สบตาเข้ากับใบหน้าที่เย็นชาของเขาพอดี
เธอจึงรีบอธิบายขึ้น : “ฉันไม่ได้ผลักคุณปู่”
ห้องจึงได้เงียบสงบลง
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอแต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับกำลังไตร่ตรองความจริงจากคำพูดของเธอ
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอด
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียว เธอก็ได้ถอดชุดเกราะนั้นออก
การเงียบเพียงชั่วครู่ของเขา เพียงพอที่จะทิ่มแทงทำร้ายเธอแล้ว
แต่แล้ว คำพูดต่อมาของเขาก็ยิ่งทำให้มู่น่อนน่อนเย็นวูบดุจโรงน้ำแข็ง
“เรื่องนี้ตำรวจตรวจสอบได้”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีอารมณ์ใด ๆ อีกทั้งยังเยือกเย็น แต่เสียงของเฉินถิงเซียวยังคงไพเราะน่าฟัง
มู่น่อนน่อนกุมมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง : “เฉินถิงเซียว ฉันไม่เชื่อในคำพูดของคุณ ฉันจะให้โอกาสคุณพูดความจริง โอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
เธอไม่เชื่อว่านี่จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเฉินถิงเซียว
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว ตัดสินใจที่จะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง และก็เชื่อเฉินถิงเซียวด้วย
แต่แล้ว เฉินถิงเซียวกลับเพิกเฉยต่อความเชื่อใจของเธอ
เขากระตุกริมฝีปากขึ้น ยิ้มอย่างดูแคลน : “มู่น่อนน่อน ที่ผมพูดล้วนเป็นความจริง คุณยังคิดว่าคุณยังเป็นคนจิตใจดีอย่างนั้นเหรอ ถ้าหากว่าเป็นคนที่จิตใจจริง ๆ ตอนนั้นคุณก็คงไม่ให้นักข่าวไปแอบถ่ายโรงงานบริษัทมู่ซื่อ จนเกือบจะทำให้บริษัทมู่ซื่อล้มละลายหรอก”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มองมู่น่อนน่อนหน้านิ่ง ๆ ราวกับรอดูปฏิกิริยาของเธอ
มู่น่อนน่อนได้แต่เม้มริมฝีปาก มองเฉินถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา
เฉินถิงเซียวราวกับถูกปฏิกิริยาที่เงียบสงบของเธอทำให้โมโหขึ้น เขาโน้มเข้าไปใกล้เธอ น้ำเสียงเย็นยะเยือก : “พวกคนตระกูลมู่ของคุณ คุณก็ใช้วิธีต่าง ๆ ในการต่อกรพวกเขา นับประสาอะไรกับคุณปู่ของผม คนแก่ที่แซ่อื่นเล่า”
“ฉันไม่ใช่คนอย่างมู่หวั่นขีสักหน่อย ฉันทำไมต้องไปทำเรื่องแบบนั้นกับคุณปู่ด้วยเรื่องของฉินสุ่ยซาน……”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวพูดขัดขึ้น : “พอได้แล้ว อย่าเรียกคุณปู่อีก คุณไม่มีสิทธิ์”
“เฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนลุกขึ้น“พึ่บ”จากโซฟาแล้วตวาดขึ้น : “สมองของคุณเลอะเลือนไปแล้วเหรอ นี่เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจใส่ร้ายฉัน คนบ้านพวกคุณไม่ไปหาคนร้ายตัวจริง กลับมานั่งกล่าวหาฉันอยู่ตรงนี้”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง เอื้อมมือมาจับคางของมู่น่อนน่อน แววตาดำขลับประกายความเย็นเยือกถึงกระดูกดำ และกล่าวเตือนว่า : “มู่น่อนน่อน ระวังคำพูดของคุณด้วย พวกเราทุกคนล้วนแซ่เฉิน พวกเราตระกูลเฉินจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
คางของมู่น่อนน่อนถูกเขาจับจนรู้สึกเจ็บ แต่ว่าเธอก็ไม่ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด และจ้องเขม็งเฉินถิงเซียวอย่างเย็นชา กัดฟันขึ้นแล้วกล่าวว่า : “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้! ฉันว่าคนบ้านตระกูลเฉินไม่มีใครดีสักคน โดยเฉพาะคุณ!”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกกลัว
แต่เวลานี้เธอจะอ่อนแอไม่ได้
“ทำไม อยากจะตีฉันเหรอ มาสิ ทางที่ดีทำให้เลือดเนื้อของคุณตายไปด้วยเลยก็ยิ่งดี ถึงเวลานั้นถ้าพวกคุณยังกล่าวหาฉัน ส่งฉันเข้าไปในคุก ก็ไม่จำเป็นที่ต้องรอให้ฉันคลอดลูกออกมาก่อน ขอเพียงคำตัดสินออกมา ฉันก็เข้าไปในคุกได้เลย ก็ยิ่งทำให้พวกคุณสมดั่งใจหมาย”
มู่น่อนน่อนมองใบหน้าที่ถอดสีของเฉินถิงเซียว ในใจก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก
เฉินถิงเซียวยิ้มทั้งโมโห : “มู่น่อนน่อน คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”
“ฉันย่อมรู้ตัวอย่างแน่นอน” มู่น่อนน่อนยิ้มหยัน: “ปฏิกิริยาของคุณตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าฉันเป็นคนผลักคุณปู่ ถ้าหากพวกคุณต้องการจะฟ้องฉัน ฉันนอกจากจะต้องยอมรับแล้วทำอะไรได้อีก”
ถ้าเฉินถิงเซียวก็ยังไม่เชื่อเธอ ตระกูลเฉินต้องการฟ้องเธอ ให้เธอเข้าเรือนจำ เธอคงไม่สามารถเอาชนะตระกูลเฉินได้จริง ๆ