ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 255 คุณเสแสร้งแกล้งทำ
เสิ่นเหลียงกลอกตามองบน : “เธอไม่ได้บ้าสักหน่อย อยู่ดี ๆ จะไปผลักคุณท่านเฉินทำไม”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเห็นด้วย : “นั่นนะสิ”
คำพูดของเสิ่นเหลียงแม้จะไม่น่าฟังก็เป็นเรื่องจริง
มู่น่อนน่อนกล่าวอย่างงุนงง : “แม้แต่เธอก็ยังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปผลักคุณท่านเฉิน ทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยว่าฉันเป็นคนทำล่ะ”
“อะไรนะ เถ้าแก่ใหญ่สงสัยเธอเหรอ” สีหน้าของเสิ่นเหลียงประหลาดใจสุดขีด
มู่น่อนน่อนจึงได้เลือกเล่าในส่วนที่สำคัญของเรื่องราวเมื่อวานให้เสิ่นเหลียงฟัง
เสิ่นเหลียงฟังจบแล้วเงียบ แต่กู้จือหยั่นที่อยู่ข้างๆกลับกล่าวขึ้น : “มีคนต้องการอยากจะทำร้ายเธอเหรอ”
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงค่อนข้างต่ำ : “ฉันเองก็คิดแบบนี้ แต่ว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยฉัน”
กู้จือหยั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
เสิ่นเหลียงถามอย่างหยั่งเชิง : “เถ้าแก่ใหญ่น่าจะมีเหตุผลของตัวเองมั้ง……”
“ไม่รู้” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
……
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นอยู่ไม่นานก็จากไป
เสิ่นเหลียงสามารถมาที่บ้านตระกูลเฉินได้ เพราะอาศัยชื่อของกู้จือหยั่นในการมาเยี่ยมเยือน
อีกทั้งเป็นการแอบมาหามู่น่อนน่อนของพวกเธอสองคน ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะอยู่นานไม่ได้
พวกเขาเพิ่งจะจากไป เฉินถิงเซียวก็กลับเข้ามา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นเขานั้น รู้สึกดีใจข้างใน
แต่ เธอเห็นตำรวจที่เดินตามหลังเฉินถิงเซียวมาติดๆ
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวนั้นไม่ได้มองเธอ เขามองตำรวจ : “เชิญถามครับ”
เมื่อตำรวจได้รับการอนุญาตจากเฉินถิงเซียว จึงได้เดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน : “คุณหญิงเฉินครับ ที่พวกผมมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมาจดบันทึกเรื่องของคุณท่านเฉินเมื่อวานครับ”
ตำรวจนั้นมาด้วยงานราชการ มู่น่อนน่อนเองก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างดี : “ค่ะ”
“ชื่ออายุครับ……”
“มู่น่อนน่อน ยี่สิบสามีปีค่ะ” ผ่านปีเก่าไป ปีนี้เธอก็ยี่สิบสามปีแล้ว
“เมื่อวานตอนเช้าประมาณสิบเอ็ดโมงยี่สิบนาที คุณเฉินอันหลินตกบันได ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหนครับ”
“ฉันอยู่บนบันไดในที่เกิดเหตุค่ะ”
“คุณทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
“มีคนรับใช้บอกว่า คุณปู่เรียกให้ไปพบค่ะ”
“คนรับใช้ชื่ออะไร”
“ไม่ทราบค่ะ”
“……”
ตำรวจซักไซ้คำถามมากมาย สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าคนรับใช้ที่เรียกเธอนั้นเป็นใคร เธอไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และก็ไม่มีคนที่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอ
ตำรวจลุกยืนขึ้น ท่าทางสุภาพ : “ขอบคุณคุณหญิงเฉินที่ให้ความร่วมมือครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อตำรวจจากไป ในห้องก็เหลือเพียงเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสองคน
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณท่านเฉิน เวลาส่วนใหญ่ของเฉินถิงเซียวคือเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากเมื่อคืนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอย่างดี ๆ อีก
เวลานี้เฉินถิงเซียวเปล่งเสียงกะทันหันขึ้น : “ที่พูดคือความจริง?”
“ไม้งั้นละ? ฉันโกหกหรอ?”
มู่น่อนน่อนหัวเราะแล้วก็ลุกยืนขึ้น เดินมาที่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียว จ้องมองแววตาเขาอย่างนิ่ง ๆ : “ถ้าหากว่าฉันกำลังโกหก คุณดูไม่ออกเชียวหรือ”
เฉินถิงเซียวใบหน้าไร้ความรู้สึก : “มนุษย์นั้นเสแสร้งเก่ง ฉันไม่ใช่พระเจ้า แน่นอนก็ย่อมมีบ้างบางเวลาที่ดูคนผิด”
สีหน้าถอดสีของมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ในแววตาปรากฏรอยยิ้ม : “แต่ว่าฉันดูออกว่าคุณกำลังโกหก”
“มู่น่อนน่อน ผมฟังไม่ออกว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร!” เฉินถิงเซียวพลางพูดพลางถอยหลังหนึ่งก้าว อยากจะทิ้งระยะห่างกับมู่น่อนน่อน
แต่มู่น่อนน่อนไม่ปล่อยให้เขาได้ทำเช่นนั้น
เธอเอื้อมมือผลักเฉินถิงเซียวล้มลงบนโซฟา
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสีหน้าดำทะมึนครู่หนึ่ง แล้วอยากจะลุกยืนขึ้น
แต่มู่น่อนน่อนเหมือนกับคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงกดไหล่ของเขาให้นั่งกลับลงไป ยกเท้าที่เรียวบางขึ้น แล้วนั่งคร่อมอยู่บนตักของเฉินถิงเซียว
ด้วยท่าที่ใบหน้าประสานกัน
เฉินถิงเซียวสีหน้าก็ยิ่งดำทะมึน น้ำเสียงทุ้มต่ำที่บ่งบอกถึงการคำเตือน : “มู่น่อนน่อน ลุกออกไป!”
“ไม่ลุก”
มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่ไม่ลุกออกไป กลับยังยกมือขึ้นคล้องกอดเข้าที่ลำคอของเขาไว้แน่น แล้วเอียงหน้าเล็กน้อยจ้องมองเขาอย่างเย้ยหยันยียวนด้วยใบหน้ารูปไข่ที่สวยงาม
สมัยที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคลุกคลีกับเสิ่นเหลียงปีกว่าๆ ยกพวกตีกันนับครั้งไม่ถ้วน ความหัวแข็งดื้อรั้น หยิ่งเกรี้ยวกราด ไม่ยอมคนได้ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเธอ
แต่เพราะเธอมาเจอกับเฉินถิงเซียวผู้แข็งแกร่ง แค่เพียงแววตาของเฉินถิงเซียวก็สามารถทำให้เธอสยบได้อย่างราบคาบ
หว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวพับย่นขึ้น ราวกับอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว
มู่น่อนน่อนใบหน้ายิ้มอย่างชื่นบาน โน้มเข้าไปหาเฉินถิงเซียว เหมือนจะแตะไม่แตะที่ริมฝีปากของเฉินถิงเซียว : “ถ้าคุณกล้าก็ผลักฉันลงไปสิ คุณผลักฉันลงไปฉันก็จะเชื่อว่าคุณสงสัยฉันจริง ๆ ไม่อย่างนั้น……”
มู่น่อนน่อนพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักขึ้น กัดริมฝีปากเฉินถิงเซียวเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ : “คุณมันเสแสร้งแกล้งทำ ฉันรู้ว่าคุณมีเรื่องปิดบังฉันอยู่”
เฉินถิงเซียวใบหน้าแข็งทื่อฉับพลัน แววตาของมู่น่อนน่อนปรากฏความกระหยิ่มขึ้น
แต่วินาทีถัดไป เฉินถิงเซียวท่าทียังคงเย็นชา : “พอได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนแม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าแขนที่เรียวยาวยังคงกอดเฉินถิงเซียวไว้แน่น สีหน้ายังคงดื้อรั้น
สองมือของเฉินถิงเซียววางลงไว้ข้างกาย หรี่ตาลงจ้องมองเธอ : “ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณตั้งท้องอยู่ คุณคิดว่าคุณจะยังได้นั่งดี ๆ อยู่ตรงนี้เหรอ”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก น้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย : “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
เมื่อน้ำเสียงจบลง เธอก็รู้สึกเหมือนร่างของเฉินถิงเซียวนั้นกระตุกไปหนึ่งที
ทั้งคู่ชิดกันอย่างแนบแน่น เธอเชื่อว่าตัวเองนั้นไม่ได้เข้าใจผิดไป
ในแววตาของเธอประหลาดใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็รู้สึกที่เจ็บจี๊ดที่ลำคอ ด้านหน้าบังเกิดความมืดมิด
ก่อนที่จะสลบไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้า คือคู่ดวงตาดำขลับราวกับความมืดมิดยามกลางคืนของ
เฉินถิงเซียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
มู่น่อนน่อนตัวค่อยๆอ่อนลงจนซบไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวประคองศีรษะของเธอให้มาซบที่ทรวงอกของเขา มือข้างหนึ่งของเขาโอบเธอไว้ อีกข้างหนึ่งประคองศีรษะของเธอไว้ อยู่อย่างนั้นสักพักโดยที่ไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปชั่วขณะ เขาถึงได้หันไปส่งเสียงเรียกประตู : “สือเย่”
สือเย่จึงรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอก : “ครับคุณผู้ชาย”
“ไปเตรียมรถ ผมจะส่งมู่น่อนน่อนกลับไป”
“ครับ”
สือเย่รับคำเสร็จก็หันหลังเดินออกไป
เดินมาถึงที่ประตูเขาก็อดไม่ได้จึงได้หันกลับไปดูแวบหนึ่ง
ใบหน้าอันหล่อเหลานั่งอยู่บนโซฟา มีหญิงสาวอยู่ในอ้อมกอด ท่าทางทั้งสองใกล้ชิดสนิทกัน
หญิงสาวหมดสติสลบไปแล้ว ชายหนุ่มก้มหน้า นิ้วมือประคองอยู่ที่เส้นผมของเธอเบา ๆ การกระทำที่อ่อนโยนและระมัดระวัง
ภาพฉากนี้ดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกความรักใคร่ปรองดองกันที่ไม่ธรรมดา
สือเย่ส่ายหน้า
เขาว่าแล้ว คุณผู้ชายปฏิบัติต่อคุณหญิงน้อยราวกับสิ่งล้ำค่า แล้วจะไปสงสัยคุณหญิงน้อยได้อย่างไรกัน
แต่ว่า คุณผู้ชายไม่รู้กำลังคิดจะทำอะไร สือเย่นั้นเดาทางไม่ถูก
หลายปีมานี้ ตลอดเส้นทางที่เขาเฝ้าดูเฉินถิงเซียวเดินมา รู้ถึงความอดทนและความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ของเฉินถิงเซียว รู้ว่าอะไรควรไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มีสติตลอดเวลา
แต่ทว่า สำหรับเรื่องนี้สือเย่เองก็ไม่เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่