ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 265 รีบอ้อมคฤหาสน์
เฉินถิงเซียวยังคงมีสีหน้าเย็นชา เขาเดินเข้ามาเงียบๆ
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก โยนจดหมายศาลไปยังโต๊ะ: “ดังนั้น ต่อมาฉันก็คงต้องอยู่ในกรงนกนี่จนถึงวันเปิดศาล ยืนอยู่แท่นคนถูกฟ้อง ปล่อยให้ตระกูลเฉินของนายมาใส่ร้ายฉันงั้นสิ ใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ลมหายใจเยือกเย็น แรงความกดดันเต็มร้อย
ต่อมาก็พูดขึ้นช้าๆว่า: “ไม่หรอก”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก
เฉินถิงเซียวมองเธอ แล้วพูดอีกครั้งว่า: “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “แล้วแต่นายจะพูดอะไรเลย”
ยังไงเธอก็ไม่มีวันเชื่อคำพูดของคนอย่างเฉินถิงเซียวอีกแล้ว
เรื่องมาจนถึงวันนี้ เธอจะไม่เชื่อเฉินถิงเซียวโดยไร้เหตุผลอย่างคนโง่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เมื่อคืนเธอยังรู้สึกแปลกเลย ทำไมเฉินถิงเซียวถึงกลับมานอนที่บ้าน
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าวันนี้จะมีจดหมายศาลส่งมานี่เอง
……
พอกินข้าวเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ออกไปแล้ว
อาจจะไปบริษัท หรือไม่ก็โรงพยาบาล
ยังไงช่วงนี้เฉินถิงเซียวก็มีเรื่องที่จัดการไม่หมดตลอด
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงหน้าต่างยาวมาถึงพื้นชั้นสอง มองดูเฉินถิงเซียวขับรถออกไป ก็ถึงโทรศัพท์หาเสิ่นเหลียง
“เสี่ยวเหลียง ฉันอยากให้เธอช่วยหน่อยน่ะ”
“เรื่องอะไรว่ามา” เสิ่นเหลียงตกลงกับทุกคำขอของเธออยู่แล้ว
และมู่น่อนน่อนก็จะไม่ขอร้องเสิ่นเหลียงอะไรเยอะ
“เรียกนักข่าวกับปาปารัสซีมาที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว”
เสิ่นเหลียงได้ยินว่าเธอจะหานักข่าว ก็ตกใจมาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา: “น่อนน่อน เธอจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉันมีแผนของตัวเอง” มู่น่อนน่อนหยุดสักพัก แล้วพูดต่อว่า: “เธออย่ากังวลเลย ฉันรู้ว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร”
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก
พอวางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็นั่งเงียบๆสักพัก ก็เริ่มโยนและทำลายของในห้อง
เธอทุบของในห้องที่ทุบได้จนหมด
เสียงที่เธอทุบห้องเสียงดังไปถึงคนรับใช้
ภายในห้องเละไปหมด มู่น่อนน่อนยื่นมือไปยกโคมไฟขึ้นมา กำลังจะฟาดลงพื้น
เธอมีใบหน้าเย็นชา สีหน้าดูเด็ดขาดมาก ทำให้พวกคนรับใช้นึกถึงเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนโยนโคมไฟในมือลงไปบนพื้นแรงๆ
ปัง——
โคมไฟแหลกแตกกระจายไปทุกสารทิศ
ต่อมา เธอก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเหมือนแมวของเธอนั้นดูไม่ออกว่ามีอารมณ์แบบไหน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “อย่าเข้ามาเด็ดขาด”
คนรับใช้ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก แต่แค่มองดูมู่น่อนน่อนอย่างตื่นเต้น กลัวว่าเธอจะทำร้ายตัวเอง
ถ้าคุณนายน้อยเป็นอะไรไป คนรับใช้อย่างพวกเธอก็คงไม่ตายดีแน่
คนรับใช้รีบเข้าไปปลอบใจมู่น่อนน่อน: “คุณนายน้อย ใจเย็นหน่อยเถอะค่ะ พวกเราไม่เข้าไปแล้ว”
ในตอนนี้เอง อาหูได้ยินก็รีบตามมา
เห็นห้องที่เละเทะไปหมด อาหูก็ตกใจและพูดว่า: “คุณนายน้อย เป็นอะไรไปคะ? มีเรื่องอะไรให้ฉันโทรหาคุณชายก็ได้ ให้เขากลับมาพูด ดีไหมคะ?”
“ไม่ต้องโทรหาเฉินถิงเซียวเลยนะ” มู่น่อนน่อนเดินไปข้างหน้าสองก้าว กวาดเศษบนพื้นออกไป: “พวกเธออย่ามายุ่งกับฉัน แล้วอย่าโทรหาเขาด้วย ตอนนี้ฉันอารมณ์เสียมาก แล้วไม่อยากเห็นพวกเธอด้วย พวกเธอออกไปให้หมดเลยนะ”
อาหูเรียกเธอด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ: “คุณนายน้อย”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วมองเธอ: “เธอก็ออกไปด้วย!”
อาหูไม่เคยเห็นมู่น่อนน่อนที่งี่เง่าแบบนี้เลย
เธอมาอยู่คฤหาสน์นานขนาดนี้ เพิ่งเห็นมู่น่อนน่อนหัวเสียแบบนี้ครั้งแรก
ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ อาหูก็เข้าใจความรู้สึกของมู่น่อนน่อนแล้ว
อาหูหันไปสั่งคนรับใช้: “ออกไปให้หมด”
อาหูพาพวกคนรับใช้ออกจากคฤหาสน์ ไปอยู่ตรงลานบ้าน
อากาศหนาวมาก มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าต่างชั้นสอง เห็นพวกสาวรับใช้ยืนตัวสั่นอยู่ที่ลานบ้าน แล้วก็เห็นบอดี้การ์ดกำลังโทรหาเฉินถิงเซียวด้วย
เวลาเธอไม่มากแล้ว
มู่น่อนน่อนไปห้องเสื้อผ้าเพื่อหาชุดกีฬาที่เพิ่มความหนาในฤดูหนาว แล้วยังหาหมวกแก๊ปมาหนึ่งใบ แล้วเอาโน้ตบุ๊ก สำเนาทะเบียนบ้าน พาสปอร์ตของตัวเองที่ต้องใช้ก็ใส่ในกระเป๋าทั้งหมด จากนั้นก็ลงบันไดมา
เธอแบกกระเป๋าไปที่ครัว
ด้านหลังห้องครัวมีห้องเก็บของ ตรงห้องเก็บของมีประตูหลัง ประตูนี้เป็นประตูที่คนรับใช้ใช้มาขนของเข้าครัว
แต่ประตูหลังก็มีบอดี้การ์ดเฝ้าเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนวางกระเป๋าไว้ในห้องเก็บของ ถือน้ำมันที่อยู่ในห้องเก็บของออกไป พอล็อกประตูเสร็จแล้ว ก็เดินไปที่ห้องโถง ปิดประตูของห้องโถงเอาไว้ แล้วล็อกประตูเอาไว้ด้วย
แม้ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวให้คนเอาน้ำมันไว้ในบ้านเพื่อใช้ทำอะไร แต่ยังไงตอนนี้สำหรับเธอแล้ว มันมีประโยชน์มาก
มู่น่อนน่อนถือน้ำมันขึ้นไปชั้นสอง เริ่มเทจากทางเดินช้าๆ สุดท้ายก็มาถึงห้องโถง
เธอจุดไฟแช็กแล้วมองไปทางประตู
บอดี้การ์ดด้านนอกรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้กำลังเคาะประตูกันใหญ่
“คุณนายน้อย! คุณนายน้อย ยังสบายดีไหมครับ?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ลังเลอีก เธอโยนไฟแช็กที่จุดแล้วไปที่โซฟาที่ราดน้ำมันไว้ โซฟาไฟลุกท่วมทันที
เสียงดังปัง! ไฟลามไปถึงชั้นสอง ไฟรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มู่น่อนน่อนรีบวิ่งไปที่ห้องเก็บของในครัว หากระเป๋าตัวเอง แล้วซ่อนตัวอยู่ที่หลังประตู
เพราะไฟลุกที่ห้องรับแขกลามขึ้นไปทางเดินชั้นสอง สถานที่ไฟลุกนั้นอยู่ใจกลางของคฤหาสน์ ดังนั้นประมาณเจ็ดแปดนาที ไฟก็หนักขึ้นเรื่อยๆ พวกบอดี้การ์ดก็ถึงพังประตูเข้ามา
บอดี้การ์ดมีเยอะ บางคนก็พังเข้ามาจากประตูห้องโถง บางคนก็เข้าทางประตูหลัง
ประตูหลังมีบอดี้การ์ดเยอะที่สุด ไม่นานก็พังประตูเข้าไปได้ แล้วพุ่งเข้ามากันหมด
ช่วงนี้เรื่องของท่านปู่เฉิน แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต บอดี้การ์ดและคนรับใช้ในคฤหาสน์รู้กันหมด
และมู่น่อนน่อนเป็นแค่สาวน้อยที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ มีความกดดันสูงจนทนไม่ไหวอยากฆ่าตัวตาย ในสายตาพวกเขาแล้วถือว่าปกติมาก
ดังนั้น บอดี้การ์ดถึงรู้สึกไปเองว่า มู่น่อนน่อนจุดไฟเพื่อฆ่าตัวตาย
พวกเขาพังประตูเข้าไปแล้วรีบพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์
มู่น่อนน่อนได้โอกาส แอบวิ่งออกไปโดยที่พวกเขาไม่ทันระวัง
คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวสร้างอยู่ที่ครึ่งเขา มู่น่อนน่อนสงสัยว่าตอนที่เขาสร้าง ซื้อพื้นที่นี้ทั้งหมดแล้วหรือเปล่า เพราะข้างๆไม่มีคฤหาสน์อื่นเลย
นี่ก็สะดวกสำหรับการหนีของมู่น่อนน่อน
เธอหลบเข้าไปในป่า มองดูบอดี้การ์ดและคนรับใช้พุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยแววตาที่เย็นชา แต่เพราะไฟลุกหนักเกินไปทุกคนจึงรีบวิ่งออกมา ด้านบนคฤหาสน์มีควันโขมงอยู่เต็มไปหมด
ในตอนนี้เอง รถสองคันก็มาจอดหน้าประตูคฤหาสน์
พวกนักข่าววิ่งไปที่หน้าประตูคฤหาสน์ เริ่มถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่ง พวกนักข่าวก็ต่างถามคำถามคนรับใช้กันใหญ่
สถานการณ์ดูวุ่นวายไปหมด
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้ม กลับหลังหันเดินลงทางเล็กของภูเขา
เป้าหมายของเธอสำเร็จแล้ว
ยี่สิบปีนั้น เธออดทนกับตระกูลมู่มาพอแล้วล่ะ
ที่เธอยอมทนตระกูลมู่ เป็นเพราะมีสายเลือดเดียวกับเซียวชู่เหอ
พอเกิดเรื่องของท่านปู่เฉิน เธอก็อดทนจนถึงตอนนี้ เพราะเชื่อในตัวเฉินถิงเซียว
แต่พวกเขากลับทำให้เธอผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินถิงเซียวอาจจะกำลังโกหก เขาคงไม่ให้ตัวเองเป็นคนถูกฟ้องแล้วยอมให้คนตระกูลเฉินมาใส่ร้ายเธอหรอก
แต่เธอไม่อยากอยู่อย่างคนต่ำต้อยหรอกนะ แล้วเอาโชคชะตาของตัวเองไปฝากไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีทางไปซะหรอก