ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 298 ไว้หน้ากันหน่อย
ตอนเลิกกองนั้น ฉินสุ่ยซานก็มาหามู่น่อนน่อน แถมพูดด้วยหน้าตาพิลึกพิลั่น “คืนนี้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“งานเลี้ยงสังสรรค์อะไรกัน?” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย พร้อมทั้งควานหาโทรศัพท์ของตนเองในกระเป๋าไปด้วย
ฉินสุ่ยซานพูดอธิบายกับเธอ “ก็แค่เป็นงานที่ปกติมาก แค่ไปนั่งกินข้าวพูดคุยเรื่อยเปื่อยตามสบายเท่านั้นเอง”
มู่น่อนน่อนรีบตกลงอย่างสบายใจมาก “ได้เลย”
ด้วยฐานะทางบ้านของฉินสุ่ยซาน คนในวงการต่างไว้หน้าเธอทั้งนั้น นิสัยของเธอเป็นคนไม่เรื่องมาก เธอพูดว่ากินข้าวกันตามปกติ ก็ต้องเป็นการกินข้าวกันอย่างปกติ
……
พอเดินขึ้นรถแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้ถามฉินสุ่ยซานขึ้นมา “ไปกินข้าวที่ไหนเหรอ?”
ฉินสุ่ยซานขับรถไปด้วย และตอบเธอไปด้วย “โรงแรมจีนติ่ง”
โรงแรมจีนติ่งเหรอ?
เมื่อได้ยินชื่ออันคุ้นเคย มู่น่อนน่อนถึงกลับตะลึงไปชั่วครู่
เมื่อก่อนเธอไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่งอยู่บ่อยๆ
พอกลับมาจากต่างประเทศก็ไม่ได้ไปอีกเลย พอได้ยินคนอื่นพูดชื่อ “โรงแรมจีนติ่ง” เธออึ้งไปสักพักถึงตั้งสติกลับมาได้ทัน
ตอนที่กำลังรอสัญญาณไฟจราจรอยู่นั้น ฉินสุ่ยซานก็มองไปทางมู่น่อนน่อนเพิ่งประเมินก่อน จากนั้นถึงได้ถามขึ้น “แกมั่นใจใช่ไหมว่าจะไม่ไปเปลี่ยนชุด หรือไปทำผมก่อน?”
“ไม่ต้องหรอก แบบนี้ฉันก็สวยดีแล้ว” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองด้านนอกกระจกรถ ตอบคำถามได้อย่างปากไม่ตรงกับใจ
เพราะว่าการทำงานออกแดดอยู่ข้างนอก มู่น่อนน่อนชอบที่จะใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว และไม่ได้ใส่กระโปรงมานานมากแล้ว
เพราะว่าใส่กระโปรงก็ทำอะไรไม่ได้สะดวก
ฉินสุ่ยซานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางเอ่ยปากถาม “พอเถอะ หลังจากที่แกโดนเฉินถิงเซียวทิ้งไป ใจก็เริ่มเหี่ยวเฉาไปแล้ว ไม่อยากจะไปหาผู้ชายคนอื่นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เธอจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงได้ตอบกลับไปตามปกติ “ค่อยว่ากันนะ”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก ไม่นานนักก็มาถึงโรงแรมจีนติ่ง
ตอนที่มู่น่อนน่อนลงจากรถแล้ว ก็หันไปสำรวจรอบๆ อย่างไม่รู้ตัวทันที
เฉินถิงเซียวมากินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง ไม่รู้ว่าจะเจอกับเขาไหม
“มองหาอะไรอยู่ พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ” เสียงของฉินสุ่ยซานเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา
“อืม” มู่น่อนน่อนรีบส่งเสียงตอบ จากนั้นก็เดินตามหลังของเธอเข้าไปด้านใน
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปด้านในห้องรับรอง ในห้องรับรองก็มีคนนั่งอยู่ล้อมโต๊ะ
ชายหนุ่มหญิงสาวมากมายมีหมด และยังมีเด็กสาวอีกหลายคน ช่วงนี้เจอเห็นบ่อยตามหน้าจอโทรทัศน์
ฉินสุ่ยซานกระซิบข้างหู “คนนั้นไง ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ไปทำหน้ามา และก็คนใส่กระโปรงชมพูคนนั้นก็ปลอมวุฒิการศึกษามา…”
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าฉินสุ่ยซานจะมีจังหวะที่พูดนินทาคนได้ด้วย
มู่น่อนน่อนยังพูดติดตลกกับฉินสุ่ยซาน “ต่อไปถ้าฉันเกิดนึกพล็อตบทละครไม่ออก ฉันก็จะสมัครWeibo เอาไว้แฉพวกเรื่องดาราโดยเฉพาะเลย เพื่อให้เป็นคนดังในโลกอินเทอร์เน็ตและเอาเงินมาดูแลเลี้ยงตัวเอง”
“ไม่มีคนคอยหนุนหลังให้แกยังคิดอยากจะไปแฉดาราอีก คนเขาจะฆ่าแกตายแน่ ถือว่าฉันยอมสิโรราบให้เลย!”
ฉินสุ่ยซานจ้องมองเธอด้วยความรังเกียจ
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ “งั้นแกก็เป็นคนคอยอยู่เบื้องหลังให้ฉันสิ”
“ฉันมันแค่ไหนกันเชียว เฉินถิงเซียวนั่นคือว่าเบื้องหลังแน่นปึ๊ก ถ้าแกไม่ได้หย่ากับเขา แล้วยังอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป อยากจะถ่ายละครของตัวเองก็ถ่ายไปได้เลย….”
พอพูดไปได้ครึ่งเดียว ฉินสุ่ยซานถึงได้รู้ตัวว่าตนเองไม่ควรจะพูดเรื่องนี้
เธอหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเคืองใดๆ ออกมา ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ได้ข่าวว่าวันนี้มีคนอารมณ์ดีที่จะมาอยู่หลายคน ก็ไม่รู้ว่าใครกัน”
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็รู้ว่าคนอารมณ์ดีที่ฉินสุ่ยซานพูดถึงอยู่คือใครกัน
“คุณมู่”
เมื่อมองเห็นซือเฉิงหยู้ที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา มู่น่อนน่อนถึงได้รู้ว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านก็ควรจะเช็กดวงสักหน่อย
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบรับ “คุณชายซือ”
ต่อหน้าคนอื่น ยังไงก็ต้องไว้หน้ากันถึงจะถูก
เวลานี้เอง ด้านนอกยังมีคนเดินเข้ามาอีกคนหนึ่ง
“เฉิงหยู้คะ ทำไมคุณต้องเดินเร็วขนาดนั้นด้วยนะ ไม่รอฉันเลย” มู่ หวั่นขีเดินเข้ามา พลางคล้องแขนซือเฉิงหยู้เอาไว้ทันที
ซือเฉิงหยู้กำลังยืนอยู่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อนและพูดกับเธอ มู่หวั่นขีพลันเห็นมู่น่อนน่อนทันที
มู่หวั่นขีพอเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อน สีหน้าก็เคร่งขรึมลงถนัดตา “มู่น่อนน่อนเหรอ?”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนได้เอ่ยปากพูด ซือเฉิงหยู้ก็เรียกทักท้วงไว้ก่อน “หวั่นขี”
มู่หวั่นขีที่ทำหน้าดำหน้าแดงตอนที่เห็นมู่น่อนน่อน เมื่อได้ยินเสียงซือเฉิงหยู้เรียกทักเธอแล้ว สีหน้าอันเย็นชาพลันหายวับไปทันที พลางยืนแนบกายเขาอย่างเชื่อฟัง ความรวดเร็วในการเปลี่ยนสีหน้ามันมากกว่าการพลิกหน้าหนังสืออีก
รอจนซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขีนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ฉินสุ่ยซานก็เอ่ยปากถามเธอ “แกรู้จักราชาภาพยนตร์ซือด้วยเหรอ?”
แม้ว่าซือเฉิงหยู้จะแตกหักกับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเฉินก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา เรื่องที่เฉินถิงเซียวเป็นบอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง ก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยด้วย
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำแล้วพูดออกมา “แกลืมข่าวลือเรื่องฉันกับซือเฉิงหยู้ก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอ?”
ฉินสุ่ยซานได้ยินแล้ว พลันแสดงท่าทางตกใจออกมาทันที
“เฉิงหยู้คะ ฉันจะกินอันนั้น”
“เฉิงหยู้คะ คุณดื่มเหล้าน้อยๆ หน่อย…”
หลังจากกินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของมู่หวั่นขีดังอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งซือเฉิงหยู้ทำหน้าอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา อ่อนโยนถึงขั้นทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกเชื่อว่าทั้งสองคนนี้รักกันจริง
ฉินสุ่ยซานที่อยู่ด้านข้างก็รังเกียจมู่หวั่นขีจนทนไม่ไหวแล้ว
ยังไม่จบงานเลย ฉินสุ่ยซานก็ลุกขึ้นยืนและพูดออกมาทันที “พวกเรายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน”
“คุณฉินจะกลับแล้วเหรอ อยู่คุยต่อกันอีกสักพักสิ” หนึ่งในนั้นแค่ทำตัวต้องการรั้งฉินสุ่ยซานเอาไว้เป็นมารยาทตามนั้นเอง
มู่น่อนน่อนมากับฉินสุ่ยซาน มีอะไรก็ให้ฉินสุ่ยซานเป็นคนเอ่ยปากพูดก็พอแล้ว เธอแค่มาอาศัยข้าวกินเท่านั้นเอง
เธอคิดแค่นี้แหละ แต่ว่าคนอื่นไม่ได้คิดแบบนั้นนี่
มู่หวั่นขีเงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อน พลางพูดอย่างช้าๆ “น่อนน่อนแกจะกลับแล้วเหรอ แกไม่ชอบขี้หน้าฉันขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินจะไม่เอาแกแล้ว แต่ว่าฉันยังคิดว่าแกเป็นน้องสาวของฉันอยู่นะ”
มู่น่อนน่อนมีสถานะในหลายๆ อย่าง ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะเหตุที่มีฉินสุ่ยซานอยู่เป็นตัวหลักอยู่ด้วย เลยไม่มีใครจะมาหาเรื่องกับเธอ
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีก็มีคดีกับเธอมาก่อน ย่อมไม่ปล่อยโอกาสในการเหยียบย่ำเธอให้หลุดรอดไปได้
อย่าพูดถึงเรื่องที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไม่ได้เลิกรากันจริงๆ เลย แม้ว่าจะเลิกรากันจริงๆ ก็ตาม คำพูดของมู่หวั่นขีก็มิอาจจะทิ่มแทงเธอได้
มู่หวั่นขีเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบมีความรู้สึกอิ่มเอมใจท่ามกลางความทุกข์ทรมานของคนอื่น
“แกเป็นน้องสาวของฉัน ดังนั้นฉันก็ต้องรู้สึกเป็นเกียรติกับแกใช่ไหม?” มู่น่อนน่อนยิ้มให้เล็กน้อย แววตาเรียวคู่นั้นเปล่งประกายออกมา
ท่ามกลางเหล่าบรรดาเน็ตไอดอล หน้าตารูปลักษณ์ของมู่น่อนน่อนยังคงโดดเด่นที่สุดเช่นเดิม
ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาจนถึงตอนนี้ แทบไม่ได้พูดจาอะไรเลย พยายามทำตัวเหมือนว่าตนเองไม่มีตัวตนอย่างสุดกำลัง
งานเลี้ยงสังสรรค์กันในวันนี้ ประเด็นหลักคือการได้ให้ผู้ร่วมลงทุนหลายๆ คนกับบรรดาเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาเจอหน้าเจอตาสังสรรค์กัน
ส่วนเรื่องความร่วมมือกันนั้น ก็เห็นได้อย่างง่ายอย่างชัดเจน
นี่เป็นเรื่องของคนอื่นที่เป็นประเด็นหลัก มู่น่อนน่อนยอมลดการมีตัวตนของตนเองลงไปอยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นหัวข้อหลักของคนอื่น
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วมองเธอ “แกลืมไปแล้วมั้ง? เมื่อครึ่งปีก่อนคุณมู่ลี่เหยียน ได้ประกาศตัดขาดฉันลงในหนังสือพิมพ์ไปแล้ว”