ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 320 คุณป้า จะไม่อธิบายหน่อยเหรอ?
เฉินถิงเซียวมองไปที่เครื่องหมายคำถามบนนั้น ก่อนที่เขาจะยกยิ้มมุมปาก
นิ้วยาวของเขาแตะไปที่บนหน้าจอไม่กี่ครั้ง: เข้านอนได้แล้ว
มู่น่อนน่อนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เอาแต่อ่านข้อความสองข้อความที่เฉินถิงเซียวส่งมา
ข้อความทั้งสองนั้นรวมกันแล้วมีแค่ไม่กี่ตัวอักษร เขานี่เป็นคนที่หวงตัวอักษรจริงๆ
“งั้นพรุ่งนี้คุณโทรหาฉันนะ รีบกลับมาไวๆ ฉันจะไปนอนแล้ว”
มู่น่อนน่อนส่งข้อความไป และเธอได้รับคำตอบจากเฉินถิงเซียวว่า “ราตรีสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวเก็บโทรศัพท์มือถือ เขาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกไปหาเฉินเหลียน
เหตุผลที่เขาเลือกมาที่เมืองMในเวลากลางคืน เพื่อจะได้ไม่ถูกเฉินชิงเฟิงจับได้เร็วขนาดนั้น
ถ้าเขาเลือกที่จะมาที่เมืองMในตอนกลางวัน เฉินชิงเฟิงจะรู้ว่าเขาไม่ได้ไปที่บริษัท แล้วเขาจะรู้โดยทันทีว่าเขามาที่เมืองMเพื่อตามหาเฉินเหลียน
เขามาในทันที อีกไม่นานเฉินชิงเฟิงก็น่าจะรู้ว่าเขามาที่เมืองMแล้ว แต่จะต้องใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมงในการบินจากเมืองหู้หยางมาที่เมืองM แม้ว่าเฉินชิงเฟิงจะมาที่นี่ แต่เขาก็คงมาถึงที่นี่หลังจาก 10 กว่าชั่วโมงนี้
เขามีเวลามากกว่า 10 ชั่วโมงในการ “พูดคุย” กับเฉินเหลียน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน
ในห้องโถงเงียบมาก และเฉินเหลียนก็ไม่อยู่
เฉินถิงเซียวถามคนใช้ว่า “คุณนายของพวกเธออยู่ที่ไหน”
คนใช้ตอบด้วยความเคารพ “คุณนายกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องค่ะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองขึ้นไปชั้นบน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่บ้านของเฉินเหลียนมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังจำห้องของเฉินเหลียนได้
เขาขึ้นไปชั้นบน และเดินไปที่ประตูห้องของเฉินเหลียน เขายกมือขึ้นแล้วเคาะประตู “คุณป้าครับ”
คนในห้องไม่ตอบสนอง เฉินถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้น จากนั้นเขาก็หันหลังจากไปโดยที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่ เฉินเหลียนก็ลงมาข้างล่าง
“ถิงเซียว เมื่อกี้แกมาหาฉันเหรอ?” เฉินเหลียนมีใบหน้าที่รู้สึกผิด “ฉันเผลอหลับไปในห้องน่ะ ฉันได้ยินว่ามีคนมาเรียกฉันในตอนสะลึมสะลือ ฉันคิดว่าฉันกำลังฝันไป”
“ถ้าป้าเหนื่อย ก็พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูราบเรียบ ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน แต่ดวงตาของเขาไม่เคยละจากเฉินเหลียนเลย
ดูเหมือนเฉินเหลียนจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกเขามอง เธอฝืนยิ้มออกมา “ไม่ขนาดนั้น ก็แค่อายุเยอะแล้ว แล้วช่วงนี้ก็เป็นหน้าร้อน ก็เลยสูญเสียพลังงานบ่อยๆ น่ะ”
“งั้นคุณป้าควรดูแลสุขภาพให้เยอะๆ นะครับ ป้ายังไม่ทันได้ดูพี่ใหญ่ได้แต่งงานเลย และยังไม่ทันได้อุ้มหลานเลย อย่าเป็นเหมือนคุณปู่นะครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำ แต่เขาจงใจพูดช้าๆ เพื่อให้คำพูดนี้ฟังดูมืดมนเล็กน้อย
เฉินเหลียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงคุณท่านเฉิน “พ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อย นิ้วมือยาวของเขาก็แตะไปที่ที่วางแขนบนโซฟา และคำพูดที่เขาพูดออกมาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไรเลย “ในเมื่อคุณป้าเป็นห่วงเขาขนาดนั้น ทำไมไม่กลับไปอยู่กับคุณลุงล่ะ? พี่ใหญ่กับเสี่ยวฉินก็อยู่ในประเทศ”
“ลุงกับป้าก็กำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่…” เฉินเหลียนหลับตาลง เพื่อจะได้ไม่มองเฉินถิงเซียว
ทั้งสองพูดคุยกัน ในเรื่องที่ไม่ได้สำคัญมากนัก
เฉินถิงเซียวเฝ้าสังเกตท่าทีของเฉินเหลียน เขาพบว่าทุกครั้งที่เธอมองมาที่เขา เธอจะรีบหลบสายตาบางครั้งก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นครั้งคราว
เฉินเหลียนเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเฉิน เธอจึงมีครูสอนเรื่องมารยาทมาตั้งแต่เด็ก เธอดูสง่างามอยู่เสมอ แต่พฤติกรรมของเธอในเวลานี้
ล้วนแสดงถึงความตึงเครียดและความวิตกกังวลในใจของเธอ
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว
หลังจากที่เฉินเหลียนพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดอะไรเลย
ห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเฉินเหลียนเอื้อมมือไปแตะแก้วน้ำที่อยู่ข้างหน้าเธอเป็นครั้งที่สาม เฉินถิงเซียวก็พูดอย่างราบเรียบว่า “คุณป้า ที่ผมมาที่เมืองMในครั้งนี้ เพราะผมมีเรื่องจะถามป้าครับ”
ดูเหมือนว่าเฉินเหลียนจะตื่นกลัวมาก เธอรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว “เรื่องอะไร?”
หลังจากพูดจบ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เธออึดอัดเกินไป ดังนั้นเธอจึงต้องเอื้อมมือไปจับแก้วน้ำ และจิบช้าๆ
เฉินถิงเซียวหยิบรายงานผลการตรวจDNAออกมา จากนั้นเขาก็วางลงบนโต๊ะต่อหน้าเธอ
เฉินเหลียนชำเลืองมองไปที่เขา ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบรายงานผลการตรวจDNA
ใบหน้าของเธอซีดลงทีละนิด และในที่สุดใบหน้าของเธอก็แสดงถึงความตื่นตระหนก ตอนที่เธอพูดอีกครั้ง เธอก็พูดตะกุกตะกักในทันที “อันนี่…ถิงเซียว…อันนี้…”
เฉินถิงเซียวมองดูความตื่นตระหนกของเฉินเหลียนด้วยดวงตาที่เย็นชา น้ำเสียงของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้นในทันที “คุณป้า จะไม่อธิบายหน่อยเหรอ? ทุกคนต่างก็รู้ ว่าตอนนั้นคุณป้ากับคุณลุงเรียนอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ แล้วก็คลอดซือเฉิงหยู้ออกมาตอนอายุ 18 ปี แต่ทำไม พ่อโดยกำเนิดของซือเฉิงหยู้ ถึงเป็นพี่ชายของคุณ”
ในสองประโยคสุดท้าย เฉินถิงเซียวจงใจพูดเน้นย้ำ
ในตอนเที่ยงเด็ก เฉินชิงเฟิงและแม่ของเขาดูรักกันมาก
แต่ว่า เมื่อเฉินถิงเซียวโตขึ้น และมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเด็ก เขาก็รู้สึกว่า การที่พวกเขาดูรักกันมากมันเป็นเรื่องไม่จริง
ผู้ใหญ่ก็แสดงเก่งมาก และก็หลอกลวงเป็นด้วย
เป็นเวลานาน ที่เฉินเหลียนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ และทั่วทั้งห้องโถงก็เต็มไปด้วยความเงียบที่น่ากลัว
เฉินเหลียนตั้งสติและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “เฉิงหยู้…เป็นลูกชายของพี่ชายจริงๆ แต่แกต้องเชื่อนะ ว่าเขารักแม่ของแกจริงๆ…”
เฉินถิงเซียวทำแต่ยิ้มเย้ยหยันและไม่พูดอะไร
เฉินเหลียนเองก็รู้ว่าการพูดแบบนี้ไม่สามารถโน้มน้าวเฉินถิงเซียวได้
ผ่านไปพักหนึ่ง เฉินเหลียนก็กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นฉันท้องจริงๆ แต่ลูกของฉันคลอดก่อนกำหนด และหลังจากที่คลอดออกมาไม่นานก็เสียชีวิต ในขณะนั้นพ่อของแกก็รับช่วงบริษัทเฉินซื่อต่อ และเขาก็มีกิจกรรมทางสังคมมากมาย เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงผู้หญิงที่ชอบเข้ามาช่วยโอกาส แม้ว่าเขาต้องการจะส่งผู้หญิงคนนั้นออกไปให้พ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็คือเลือดเนื้อของเขา และลูกของฉันก็เพิ่งเสียชีวิต ฉันเลยเอาเด็กมาเลี้ยงดู…”
ประโยคนี้ฟังดูไร้ข้อบกพร่องใดๆ
และก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
เฉินถิงเซียวไม่ได้บอกว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เขาเพียงแค่ถามว่า “ซือเฉิงหยู้รู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“เขา…น่าจะรู้แล้ว” สีหน้าของเฉินเหลียนดูลังเลเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวถามว่า “คุณลุงก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
สีหน้าของเฉินเหลียนกลับมาเป็นปกติ และเธอก็พูดเบาๆ ว่า “ใช่ หมิงหวนก็รู้เช่นกัน”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง “ลุงไม่อยู่บ้าน เขาไปไหนที่ไหนเหรอ?”
เฉินเหลียนยิ้มและพูดว่า “ช่วงนี้เขากำลังจัดนิทรรศการศิลปะ เขาออกไปเดือนกว่าๆ แล้ว”
เมื่อเธอพูดจบ คนใช้ก็เข้ามา “คุณนาย อาหารพร้อมแล้วค่ะ”
“เอาล่ะ ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ แกก็น่าจะหิวเหมือนกัน” เฉินเหลียนลุกขึ้นพูดอย่างอ่อนโยน
เธอกลายเป็นภรรยาของศิลปินผู้สง่างามอีกครั้ง ใบหน้าของเธอไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกอยู่เลย
เฉินถิงเซียวหลับตาลง และตามเธอไปที่ในห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มีเพียงพวกเขาสองคนที่กำลังทานกันอยู่ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศดูค่อนข้างตึงเครียด
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินถิงเซียวก็วางตะเกียบลง “ผมทานเสร็จแล้ว”
เฉินเหลียนมองเฉินถิงเซียวที่เดินออกจากห้องอาหารไป สีหน้าของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที