ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 327 พอรถเสียถึงได้รู้ว่าต้องมีล้อสำรอง
มู่น่อนน่อนมองลงด้านล่างไปเรื่อย ๆ ก็เห็นว่ารูปภาพประกอบที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นรูปเมื่อวานที่เธอกับเฉินถิงเซียวจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่ในรถ
เวลานั้นเองเธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจูบเธออย่างดุดัน แต่ตอนนี้พอมาเห็นรูปแล้ว ถือว่า…มันดูหนักหน่วงดุดันจริงๆ
เสิ่นเหลียงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอเมื่อเห็นว่าเธอนั้นได้เห็นรูปภาพแล้ว ถึงกลับถอนหายใจทันที “แกบอกความจริงกับฉันมา แกกับบอสใหญ่เลิกกันตอนไหนเหรอ? หรือว่าไม่ได้เลิกกันเลย? ถ้าพวกแกไม่ได้เลิกกันแกทำแบบนี้มันก็เกินเหตุไปแล้วนะ!”
มู่น่อนน่อนโดนเธอพูดใส่ถึงกลับอึ้งกิมกี่ “เราไม่ได้เลิกกัน”
เสิ่นเหลียงที่ได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ เลยใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอาหารเสียงดังลั่น แถมแสดงอากัปกิริยาที่ไม่อยากจะเชื่อ “พวกแกไม่ได้เลิกกันแล้วแกดันมาทำเรื่องแบบนี้อีก จนถูกพวกสื่อฯถ่ายรูปมา นี่แกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้วใช่ไหม!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปเยอะเลย จึงเตรียมอธิบายให้เธอฟัง “ไม่ใช่นะ ความหมายของฉันคือ…”
เสิ่นเหลียงยื่นมือออกมาและทำมือโบกปฏิเสธต่อหน้าเธอ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าเธออย่าได้อธิบายอีกเลย และพูดแทรกคำพูดของเธอแทน “เรื่องนี้มันออกข่าวไปแล้ว บอสใหญ่ตอนนี้ก็คงรู้เรื่องแล้ว แกก็รีบจัดการเก็บของ และรีบหนีให้รอดชีวิตไปเถอะ”
มู่น่อนน่อน “….”
เสิ่นเหลียงเห็นว่าเธอไม่ได้มีอาการขยับเขยื้อนใด เลยไม่ลืมที่จะเร่งรัดเธอ “รีบไปเร็ว ยังจะมามัวอึ้งอยู่อีกทำไมกัน?”
“ผู้ชายคนนี้ก็คือเฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นเพื่อท้าวหน้าผากของตนเองเอาไว้ และหลุบตาลงเพื่อมองคอมเม้นท์ที่เขียนอยู่ในโทรศัพท์
ในคอมเม้นท์ต่างพูดกันไปต่างๆ นานา มีสีสันเป็นอย่างมาก
“ดูสไตล์จากเสื้อผ้าที่ชายคนนี้ใส่ น่าจะยังอายุน้อยมาก อาจจะเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็เป็นได้”
“หาเด็กอายุน้อยขนาดนี้ ก็คงเอามาเยาะเย้ยเฉินถิงเซียวละมั้ง?”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้หญิงนั่นกับคุณชายเฉินคนนั้นตกลงว่าทำไมถึงหย่ากันล่ะ? เป็นเพราะว่าผู้ชายทำไม่ไหวเหรอ?”
รีโพสต์แรก “ตรงนี้มีคนซื่อสัตย์อยู่ด้วย ทุกคนมารุมเขาเร็ว”
รีโพสต์อันที่สอง “คนปกติที่ไม่เคยออกสื่อต่อสายตาประชาชนมาตั้งสิบกว่าปี แถมยังอนุญาตให้คนอื่นพูดถึงเข้าด้วย คุณชายเฉินนี่ต้องประสาทไปแล้วแน่….”
รีโพสต์อันที่สาม “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าของกระทู้ยังกล้าจะพูดอีก เดี๋ยวไม่เกินสามวินาทีทางฝั่งตระกูลเฉินก็ออกมาประกาศศึกแน่”
“เฮ้อ …” มู่น่อนน่อนถอนหายใจออกมา คนเหล่านี้ประสาทกันไปแล้ว!
ต่างมีข่าวลือถึงเฉินถิงเซียวหนาหูมาโดยตลอด “ทั้งหน้าตาขี้เหร่และไม่มีมนุษยธรรม” ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ตอนนี้ก็ถูกคนเหล่านี้เอาพูดกันสนุกปาก
มู่น่อนน่อนกำลังจะตอกกลับคนเหล่านี้นั้น โทรศัพท์ก็ถูกเสิ่นเหลียงแย่งคืนกลับไปทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองโทรศัพท์ที่เสิ่นเหลียงชูขึ้นแกว่างด้านหน้าของเธอ “น่อนน่อนแกมองมองให้ชัดๆ นะ หมวกแก๊ป เสื้อสเวตเตอร์ฮู้ดสีเขียว นี่มันเป็นสไตล์การแต่งตัวของบอสใหญ่เหรอไง? นอกจากใส่เสื้อผ้าสีดำ สีขาว หรือสีเทา ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อผ้าสีอื่นเลย นี่แกเกลี้ยกล่อมใครกันอยู่!”
ความจริงแล้ว ตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวในเวลานั้น ผ่านไปนานสักพักยังตั้งสติไม่ได้เลย
มู่น่อนน่อนยักไหล่ให้ และพูดกลับอย่างไม่ยี่ระ “งั้นต้องทำยังไงถึงจะเชื่อว่า ผู้ชายคนนั้นคือเฉินถิงเซียว? งั้นฉันพาแกไปพิสูจน์ต่อหน้าเขาเลยเอามั้ย?”
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่อยู่ในรูปคือเฉินถิงเซียว แต่เธอเชื่อมั่นในตัวของมู่น่อนน่อน
“บอสใหญ่จริงๆ เหรอ?”
“จริงสิ”
เมื่อเห็นน้ำเสียงและการแสดงออกของมู่น่อนน่อนหนักแน่นเต็มเปี่ยม เสิ่นหยางถึงพยักหน้าให้ “’ งั้นได้ เชื่อแกแล้ว”
“แต่ ทำไมเขาถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะ?”
“เมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะบินกลับมาจากเมืองM และก็ไปหาฉันที่สตูดิโอ ซิตี้ แต่กลัวว่าจะถูกแอบถ่ายและไม่อยากให้มันยุ่งยาก เลยจัดการแต่งตัวแบบนั้นไป” แต่ผลที่ได้คือการแต่งตัวแบบนั้นไปยิ่งทำให้วุ่นวายหนักกว่าเดิมเสียอีก
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว รีบเสนอและถามกลับทันที “งั้นแกมีรูปอยู่ไหม?”
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “มีสิ”
มันยากมากที่จะเห็นเฉินถิงเซียวแต่งตัวออกมาแบบนี้ ยังไงก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย
เมื่อวานตอนกลับมาที่อพาร์ทเม้นนั้น ตอนที่ทั้งสองคนกำลังรอลิฟต์อยู่นั้น มู่น่อนน่อนก็แอบถ่ายรูปอยู่หลายใบ
เธอเปิดค้นหารูปภาพเพื่อเอาให้เสิ่นเหลียงดู
เสิ่นเหลียงมองดูรูปภาพแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ฉันรู้สึกก็นะ บอสใหญ่มีนิสัยที่หนักแน่นเกินไป อย่าพูดว่าใส่เสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดเลย ฉันรู้สึกว่าเขาใส่เสื้อผ้าชุดสีชมพูลายกระต่าย ก็ยิ่งทำให้คนตกใจมากเลยแหละ”
“ไม่มั้ง อันนี้มันน่ารักจะตาย” มู่น่อนน่อนรีบแย่งโทรศัพท์กลับมา แถมพูดอย่างไม่พอใจอีก
เสิ่นเหลียงส่งเสียง “ยี้” ออกมา และยักไหล่ตามอย่างเกินเหตุ “ขนหัวลุกไปทั้งตัวแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งดื่มน้ำชาเสร็จแล้วและออกมาจากร้านมาพร้อมกัน ก็เห็นบรรดานักข่าวกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลนักวิ่งมุ่งหน้าเข้ามาหา เป้าหมายก็เห็นได้อย่างชัดเจนมาก นั่นคือการวิ่งพุ่งเข้ามาหามู่น่อนน่อนนั่นเอง
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงเสิ่นเหลียงให้กลับเข้าไปด้านในของร้านอาหาร
“เสี่ยวเหลียง แกออกไปทางอีกประตูหนึ่ง เป้าหมายของพวกเขาคือฉัน”
เสิ่นเหลียงถามเธอกลับ “แกล่ะ?”
“ฉันยังหลบได้อยู่น่าจะหลบได้ไม่ถึงสิบห้านาที ในร้านคงไม่ยอมอยู่เฉยไม่ออกมาช่วยหรอก แกรีบไปก่อนเลย”
เสินเหลียงพยักหน้า จากนั้นก็ดึงหมวดลง จากนั้นก็ออกไปอีกประตู
เธอเพิ่งจะก้าวเท้าออกไปหยก ๆ พวกนักข่าวก็กรูตามหลังเข้ามาทันที
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนโซฟา กลุ่มนักข่าวเหล่านั้นก็พุ่งตัวมาอยู่ด้านหน้าของเธอ
จนไมโครโฟนจะทิ่มหน้าของเธออยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วทันที และเอนศีรษะหนีเล็กน้อย “ตอนนี้ฉันก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว พวกคุณถอยหลังไปนิดหนึ่งได้ไหม เดี๋ยวถ้ามีทำให้หน้าฉันเสียหายใครจะเป็นคนออกค่าผ่าตัดทำหน้าให้ฉัน?”
คำพูดของมู่น่อนน่อนไม่มีการเกรงใจสักนิด นักข่าวพวกนั้นทำได้แค่ถอยหลังไปเล็กน้อย
“คุณมู่ ในข่าวผู้ชายที่อยู่กับคุณบนรถ เป็นแฟนใหม่ของคุณใช่ไหม?”
“ตอนนี้พวกคุณพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?”
“ก่อนหน้านี้คุณยังคิดจะกลับไปคืนดีกับคุณชายเฉินไหม? หรือเป็นเพราะว่าคุณชายเฉินปฏิเสธคุณ คุณด้วยเสียใจเศร้าโศก เลยออกไปหาแฟนหนุ่มคนใหม่ทันทีเลย?”
“สามารถบอกเรื่องของแฟนหนุ่มคนใหม่ได้บ้างไหม?”
คำถามของนักข่าวถามกันมาเป็นชุด ทุกคำถามต่างพุ่งมาที่มู่น่อนน่อนอยู่เรื่อย ๆ
มู่น่อนน่อนนั่งกอดอก และเลิกคิ้วตอบ “เรื่องของแฟนหนุ่มทำไมฉันต้องบอกพวกคุณด้วย คุณอยากจะขุดคุ้ยเรื่องคนในครอบครัวของฉันเหรอ?”
“คุณมู่ รบกวนคุณช่วยตอบคำถามของผมที่ ว่าตอนนี้คุณตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ในการจะล้มเลิกความคิดในการกลับไปคืนนี้กลับคุณชายเฉิน?”
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเป็นเอนหลังพิงให้สบายกว่าเดิม จากนั้นก็ตอบคำถามอย่างเป็นกันเอง “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“คุณมู่ คุณไม่ยอมตอบคำถามที่แน่ชัด หรือว่านี่คุณจะเป็นการบอกว่ายังไม่ล้มเลิกความคิดกับคุณชายเฉิน ส่วนผู้ชายคนที่อยู่รถและจูบกันคุณนั้น เป็นแค่ตัวสำรองของคุณใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นและมองหน้านักข่าวคนที่ถาม “รถผุพังเท่านั้นแหละที่จำเป็นต้องมีล้อสำรอง คุณอยากจะด่าฉัน หรือว่าอยากจะด่าคุณชายเฉินกันแน่?”
สีหน้านักข่าวคนนั้นถึงกับนิ่งไปทันที เรื่องนี้ไปดึงคุณชายเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เกิน เขารีบอธิบายทันควัน “ไม่ใช่ครับ คุณมู่ความหมายของผมคือ….”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้คิด” มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้ายิ้มให้เล็กน้อย “ขอบคุณพวกคุณทุกคนมาที่สนใจในตัวฉันมาตลอด ฉันจะพยายามต่อไป แต่ฉันหวังว่าทุกคนจะสนใจในตัวผลงานของฉันมากกว่า”
นักข่าวต่างมองออกว่ามู่น่อนน่อนไม่ใช่คนหัวอ่อน และไม่สามารถที่จะบีบเคล้นกันง่ายดายขนาดนั้น คำถามต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องปกติไปแทน
มู่น่อนน่อนตอบคำถามของพวกเขาอย่างมากประสบการณ์และเฉียบขาด ส่วนใหญ่แล้วเป็นการหลีกเลี่ยงได้อย่างชาญฉลาด
เธอยอมรับว่าผู้ชายที่เธอจูบในรถเป็นแฟนหนุ่ม แต่ก็ระวังมากเป็นพิเศษและไม่ได้ยอมรับว่าเป็น “แฟนหนุ่มคนใหม่”