ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 329 เห็นกับตาตัวเอง จนปวดร้าวไปถึงหัวใจ
ซือเฉิงหยู้ได้ยินแล้ว เลยถามกลับ “คุณมีช่องทางการติดต่อกับเขาไหม?”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก “มี”
หลังจากที่เธอกลับมาแล้วนั้นก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเฉินเจียฉินเลย บางครั้งเฉินเจียฉินก็ส่งข้อความผ่าน Wechat มาหาเธอ ทั้งสองคนก็แค่ทักทายกันตามปกติก็เท่านั้นเอง
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับซือหมิงหวน ในใจเธอก็คอยเป็นห่วงเฉินเจียฉินอยู่ตลอด แต่ทว่าไม่สามารถไปหาเฉินเจียฉินได้
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอ “ไม่ใช่ภรรยาของเฉินถิงเซียวแล้ว” แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิต
ตอนนี้ซือเฉิงหยู้เป็นคนออกหน้ามาหาเธอเองเลย และเป็นเหตุผลให้เธอได้ไปหาเฉินเจียฉินได้อย่างสมเหตุสมผล
ซือเฉิงหยู้พยักหน้า น้ำเสียงดูขอบคุณเล็กน้อย “รบกวนคุณแล้วนะ”
“ถ้ารู้ว่าเสี่ยวฉินเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องให้คุณมาพูดหรอก ตัวฉันจะไปหาเขาด้วยตนเองเลย” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนดูเย็นชาและห่างเหิน
ซือเฉิงหยู้ก็ไม่รู้ว่าฉุกคิดอะไรได้ การแสดงออกเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็แค่ยิ้มให้
……
หลังจากที่ซือเฉิงหยู้กลับไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็โทรศัพท์หาเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวที่กำลังเตรียมจะประชุมอยู่นั้น เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนโทรศัพท์เข้ามาหา ก็หยิบโทรศัพท์และลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องประชุม จากนั้นก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมเหรอ?”
“เมื่อกี้ซือเฉิงหยู้มาหาฉันแล้ว”
“เขามาหาคุณทำไมกัน?” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชาลงทันที เห็นได้ชัดว่าเขาก็เหมือนกับมู่น่อนน่อน และมีการหวาดระแวงต่อซือเฉิงหยู้อย่างเต็มเปี่ยม
“เขาพูดถึงเรื่องอาเขยของคุณ ให้ฉันพอมีเวลาก็เข้าไปคุยเป็นเพื่อนเสี่ยวฉินหน่อย” มู่น่อนน่อนบอกคำพูดของซือเฉิงหยู้ที่พูดกับเธอให้เฉินถิงเซียวฟังด้วย
เฉินถิงเซียวที่อยู่ปลายสายเงียบงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงได้มีเสียงตอบกลับมา “งั้นคุณยินยอมไปหรือเปล่า?”
“ฉันก็ต้องยอมสิ” มู่น่อนน่อนพูดเว้นจังหวะ “ความจริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าเสี่ยวฉินเขาชอบคุณมาก บางครั้งคุณมีเวลาก็สามารถเข้าไปพูดปลอบโยนเขาได้”
แม้ว่าเธอกับเฉินเจียฉินรู้จักกันจะเพียงแค่เวลาระยะอันสั้นแค่นั้น ทั้งสองคนต่างมีความรู้สึกต่อกัน แต่ว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าในใจของเฉินเจียนฉินนั้น ตำแหน่งของเฉินถิงเซียวต้องเป็นตำแหน่งที่พิเศษที่สุด
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ผมไม่มีเวลา คุณเข้าไปหาเขาเถอะ เดี๋ยวผมจะประชุมแล้ว วางสายแล้วนะ”
“อืม”
มู่น่อนน่อนกดวางสายโทรศัพท์ มือที่กำโทรศัพท์เริ่มคิดจินตนาการเตลิดไป เฉินถิงเซียวคงไม่โทษตัวเองใช่ไหม?
ในตอนนั้นซือหมิงหวน รีบไปตามที่ได้นัดหมายกับเฉินถิงเซียวเอาไว้ และประสบอุบัติเหตุตรงถนนหน้าประตูทางเข้าร้านกาแฟที่ทั้งสองคนนัดหมายกันเอาไว้ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
เมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าอยู่เหนือการคาดเดาได้ ทว่ามันกลับเป็นความจริงไปเสียนี่
เมื่อมองจากทัศนคติของเฉินถิงเซียวแล้ว เฉินถิงเซียวไม่คิดว่าอุบัติเหตุรถชนในครั้งนั้นจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุจริงๆ …
ช่างเถอะ เรื่องที่คิดไม่ออกก็อย่าไปเพิ่งคิดถึงมันเลย
คืนนี้เอง มู่น่อนน่อนก็ส่งข้อความผ่านทางWechatให้เฉินเจียฉิน
“เสี่ยวฉิน กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
ผ่านไปหลายนาที เฉินเจียฉินถึงได้กลับมา “ทำการบ้านอยู่”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองปฏิทิน ถึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเข้าเดือนกันยายนแล้ว พวกของเฉินเจียฉินจะเปิดเรียนแล้ว
“ยังมีอีกเยอะไหมที่ยังทำไม่เสร็จ? พรุ่งนี้มีเวลาพอจะไปทานข้าวด้วยกันไหม?”
“อื้อ”
มู่น่อนน่อนเห็นคำว่า “อื้อ” ของเฉินเจียฉิน ถึงกลับหมดคำพูด
เด็กคนนี้โดยปกติแล้วเวลาคุยกันใน Wechat นั้นก็จะพูดมากหน่อย พูดไม่เคยหยุดหายใจเลย แต่ตอตตนี้ใกล้จะเหมือนเฉินถิงเซียวที่พูดแล้วกลัวดอกพิกุลจะร่วงไปทุกที
จากนั้น มู่น่อนน่อนก็ส่งเวลาและสถานที่ไปให้เฉินเจียฉิน
……
เช้าวันต่อมา มู่น่อนน่อนมายังร้านอาหารที่ได้จองไว้ก่อนอย่างตรงเวลาแล้ว
ร้านอาหารร้านนี้เมื่อก่อนเธอกับเฉินเจียฉินเคยมากินด้วยกันแล้ว
เฉินเจียฉินเองก็เป็นคนตรงต่อเวลามาก มู่น่อนน่อนเพิ่งจะก้าวเท้าถึง เขาก็ตามมาถึงติดๆ
สีหน้าของเฉินเจียฉินไม่ค่อยดีเลย ใบหน้าซีดเผือดไม่สีเลือดเลย ผมหยักศกเล็กน้อยตามธรรมชาติก็ยาวจนปิดดวงตาไปครึ่งหนึ่งแล้ว มองดูแล้วเหมือนวัยรุ่นที่อารมณ์ดูอึมครึมหน่อยๆ
เขาสะพายกระเป๋า ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวและกางเกงห้าส่วนสีเทา เห็นแล้วว่าผมกะหร่องมาก
เขาชะเง้อมองตรงประตู ก็เห็นมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
“พี่น่อนน่อน” เฉินเจียฉินนั่งลงฝั่งตรงข้ามของมู่น่อนน่อน
เขาถอดกระเป๋าสะพายออกและวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อน
แต่ด้วยเพราะว่าผมหยักศกหน่อยๆ ของเขามันยาวเกินไป จนมู่น่อนน่อนมองเห็นดวงตาของเขาไม่ชัดเจนเลย แค่รู้สึกว่าตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงไม่กระปรี้กระเปร่าเลย เหมือนหมาหน้าหงอยที่ทำหน้าเศร้าอยู่ ดูแล้วช่างน่าสงสารและทำให้คนเจ็บปวดแทน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เจอหน้าเขามาสักระยะแล้ว
เขายิ้มให้เฉินเจียฉิน และถามกลับ “ตรงเวลามาก แต่ว่าผมของนายควรจะตัดได้แล้วนะ”
“สองวันนี้มัวแต่วุ่นวายกับทำการบ้าน รออีกสักสองสามวัน ก่อนหน้าจะเปิดเรียนวันหนึ่งค่อยไปตัดผม” เฉินเจียฉินลูบคลำผมของตนเอง และพูดอย่างเขินอาย
มู่น่อนน่อนลองถามกลับ “อีกเดี๋ยวฉันไปตัดผมเป็นเพื่อนนายเอง”
เฉินเจียฉินยังคงเชื่อฟังคำสั่งของมู่น่อนน่อนอยู่มาก และพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม”
“สั่งอาหารกันเถอะ” มู่น่อนน่อนเอาเมนูอาหารผลักมาตรงด้านหน้าของเขา
เฉินเจียฉินสั่งอาหารไปสองอย่าง ที่เหลือมู่น่อนน่อนเป็นคนสั่ง
แต่ว่า เฉินเจียฉินไม่ได้กินสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนเป็นเด็กที่กินจุ ตอนนี้ยังกินไม่ได้ครึ่งของมู่น่อนน่อนเลยด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนมองเห็นกับตา จนปวดร้าวจนหัวใจแทน
มู่น่อนน่อนคีบกับข้าวให้กับเขา และถามกลับ “กินอีกสักหน่อยไหม?”
“ไม่อยากกินแล้วแหละ” เฉินเจียฉินเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ได้ งั้นเราไม่กินแล้วนะ ไปหาร้านตัดผมให้นายกันเถอะ” มู่น่อนน่อนเรียกพนักงานมาเช็กบิล เพื่อเตรียมจะพาเฉินเจียฉินไปตัดผม
ทั้งสองคนเดินออกจากร้านอาหาร ก็ถูกบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้
สายตาของพวกเขามองมาที่ตัวของเฉินเจียฉิน หนึ่งในนั้นเดินออกมาด้านหน้าและเรียนเฉินเจียฉินว่า “คุณชายเจีย”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินเจียฉินทันที
เฉินเจียฉินขมวดหัวคิ้วเอาไว้ น้ำเสียงดูเย็นชายากที่จะเห็นได้ “พวกนายสะกดรอยตามฉันทำไม? ฉันไม่ได้ไปตายสักหน่อย เดี๋ยวสักพักฉันจะกลับไปเอง!”
ตอนที่เขาพูดออกมานั้นไร้ความรู้สึกใด ๆ กลิ่นอายความเย็นชาช่างละม้ายเฉินถิงเซียวบ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว พลันหันหน้าไปมองเขาทันที
เธอย่อมรู้ดีว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนทางตระกูลเฉินจัดการส่งตัวมาให้คุ้มครองเฉินเจียฉิน
แต่กลุ่มบอดี้การ์ดกลับไม่ได้พูดอะไร
เฉินเจียฉินหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน “พี่น่อนน่อน เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินไปทางด้านหน้า กลุ่มบอดี้การ์ดที่ขวางทางอยู่ก็รีบหลีกทางให้ทั้งสองคนทันที
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่กลุ่มบอดี้การ์ดกลุ่มนี้หลีกทางให้กับพวกเขา แต่พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเฉินเหลียนเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
เฉินเหลียนรีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินมาทางด้านนี้ ในแววตาของเธอมีแค่เฉินเจียฉินเท่านั้นเอง แถมยังไม่ได้สังเกตมู่น่อนน่อนด้วยซ้ำ
“เสี่ยวฉิน ทำไมลูกถึงออกจากบ้านมาคนเดียวล่ะ? ลูกไม่รู้หรือยังไงว่าแม่เป็นห่วงลูกมากขนาดไหนกัน” เฉินเหลียนเดินเข้ามาหา และค่อยๆ ประเมินเขาอย่างละเอียด เหมือนเป็นการมองว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจำพวกนั้น
“ร่างกายของผมครบ 32 สมองก็ปกติดี ตอนนี้ก็อายุ 15 ปีแล้ว ในบางประเทศถือว่าบรรลุนิติภาวะไปแล้ว ทำไมถึงออกจากบ้านคนเดียวไม่ได้ล่ะ?”
มู่น่อนน่อนฟังความหมายออก น้ำเสียงของเฉินเจียฉินเป็นการแขวะกลับอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการชี้เฉพาะมายังเฉินเหลียนที่เป็นแม่บังเกิดเกล้าแท้ๆ
เฉินเหลียนที่ใบหน้าซีดเผือดอยู่ก่อนแล้ว พลันใบหน้าขาวโพลนหนักกว่าเก่า “แม่แค่เป็นห่วงลูกเท่านั้นเอง’
“ผมสบายดี ไม่จำเป็นต้องมาคอยเป็นห่วง คุณกลับไปได้แล้ว” เฉินเจียฉินพูดจบ ก็หันหน้ามามองมู่น่อนน่อนทันที