ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 330 สิ่งที่ทำลงไปมันเป็นเรื่องที่ทำเกินกว่าเหตุมาก
- Home
- ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
- บทที่ 330 สิ่งที่ทำลงไปมันเป็นเรื่องที่ทำเกินกว่าเหตุมาก
เฉินเจียฉินชำเลืองมองมู่น่อนน่อน จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป มู่น่อนน่อนได้แค่เดินตามไปเท่านั้นเอง
ตอนเธอเดินผ่านด้านข้างของเฉินเหลียนนั้น จากนั้นก็พยักหน้าทักทายเล็กน้อย “คุณนายซือ”
เฉินเหลียนถึงได้รู้ว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ที่นี่ด้วย
เหมือนว่าเธอเองก็จำมู่น่อนน่อนไม่ได้ว่าคือใครกัน เธอมองมู่น่อนน่อนและอึ้งอยู่สักพักถึงได้พูดว่า “คุณคือ…”
“ฉันคืออดีตภรรยาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนค่ะ” มู่น่อนน่อนจ้องตาเฉินเหลียน และพร้อมอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของเฉินเหลียนแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย “ที่แท้คือคุณนี่เอง”
“ฉันมีธุระต่อ คงอยู่คุยเป็นเพื่อนกับคุณนายซือไม่ได้แล้ว” มู่น่อนน่อนยกเท้าเดินมุ่งหน้าไป และรีบตามเฉินเจียฉินไป
ตอนที่เธอตามหาตัวเฉินเจียฉินเจอนั้น เขากำลังยืนอยู่ข้างน้ำพุ และยืนหลังตรง แต่กลับก้มหน้าคอตกหนัก
มู่น่อนน่อนเดินดักมาทางด้านหน้า ก็เห็นว่าพื้นตรงด้านหน้าของเขานั้นต่างมีคราบหยดน้ำ ราวกับน้ำตา
มู่น่อนน่อนดึงทิชชูออกมาหนึ่งแผ่นและยื่นให้กับเขา
เฉินเจียฉินไม่ได้รับเอาไว้ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นแทน “หลายปีมานี้ผมติดต่อพ่อได้น้อยครั้งมาก ครั้งนี้เขาจัดนิทรรศการภาพวาด ก็เป็นเพราะว่าทะเลาะกับแม่มาถึงได้ตัดสินใจทันที…พ่อของผมเป็นคนที่นิสัยดีมาก ไม่ใส่อารมณ์กับใครเลย… ต้องเป็นเพราะว่าแม่ทำเรื่องที่เกิดเหตุไปอย่างแน่นอน…”
“แต่พอผมไปถามพวกเขาว่าทำไมถึงทะเลาะกัน เธอก็ไม่ยอมบอกผม เธอต้องทำเรื่องไม่ดีมากมาแน่ พ่อของผมถึงได้โกรธจนถึงขั้นหนีออกจากบ้านไป…”
มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะผ่านเข้าไปสู่ความรู้สึกในใจได้ลึกอีกขั้น
ซือหมิงหวนทะเลาะกับเฉินเหลียน จนถึงขั้นหนีออกจากบ้านไป ส่วนสาเหตุที่ทะเลาะกันนั้นเฉินเหลียนกลับไม่ยอมพูดออกมา
เฉินถิงเซียวเดินทางไปเมืองMเพื่อหาเฉินเหลียนก็เพราะชีวิตความเป็นมาของซือเฉิงหยู้ เขาวางแผนจะพูดคุยกับซือหมิงหวนสักหน่อย แต่ผลที่ได้คือซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุรถชนเสียนี่
นี่คือเหตุและผลก็เป็นแบบนี้ ภายนอกดูเหมือนว่ามันไม่เชื่อมโยงกันจนเห็นชัดเจน
“อย่าร้องไห้เลย” มู่น่อนน่อนทำได้แค่หยิบทิชชูช่วยเช็ดน้ำตาให้เขา “ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็เป็นแม่ของนาย เธอเป็นห่วงนายมาก ระหว่างพวกนายมีเรื่องที่เข้าใจผิดกัน รอให้ทุกคนต่างใจเย็นลงแล้วค่อยกลับมาพูดกัน”
เฉินเจียฉินทำได้แค่หยิบทิชชูมาเช็ดหน้าตนเอง แต่ไม่ยอมตอบกลับคำพูดของมู่น่อนน่อน
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเจียฉินยังคงกล่าวโทษเฉินเหลียนอยู่
เขาโทษว่าเฉินเหลียนไปทะเลาะกับซือหมิงหวน จากนั้นซือหมิงหวนก็โมโหจนหนีออกจากบ้านไป จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น
ตอนนี้เฉินเจียฉินกำลังดื้อรั้นอยู่ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรมาเขาก็ฟังไม่เข้าหูทั้งสิ้น
มู่น่อนน่อนพูดปลอบใจเขาอยู่สักพัก จากนั้นก็พาเขาไปตัดผม
เฉินเจียฉินที่ตัดผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่ากระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกมาเดินเที่ยวเล่น
มู่น่อนน่อนดึงเขาเข้าห้างสรรพสินค้า “อยากจะซื้ออะไรฉันซื้อให้นายเอง บทละครของพี่ขายได้แล้ว ตอนนี้มีเงินแล้วจ้า”
เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียฉินอารมณ์ไม่ดีเลย เขาคลำนู่นคลำนี่อย่างไม่สนใจอะไร จู่ ๆ ก็ถามมา “คุณกับพี่ชาย หย่ากันจริง ๆ เหรอ?”
มู่น่อนน่อนคิดพร้อมกันว่าจู่ ๆ เฉินเจียฉินถึงถามคำถามนี้ เธอถึงตะลึงและพูดออกมา “อืม”
เฉินเจียฉินหันหน้าไปมองเธอ พร้อมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะว่าเรื่องลูกใช่ไหม? ผมรู้สึกว่าพี่ชายไม่เหมือนคนที่เอาเด็กไปซ่อนไว้เลย ผมเชื่อใจเขา”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบเขาทันที
เฉินเจียฉินเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเอง เห็นเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป และกล้าแสดงความเห็นออกมาได้อย่างเต็มที่
เดิมถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งเลย
แต่ทว่า เขาเป็นคนของตระกูลเฉิน
เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ถ้าเขาเกิดไม่ใช่คนในตระกูลเฉิน ไม่แน่ก็คงไม่มีเขาในเวลานี้หรอก
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหน้าไปมองเขา “ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครกัน?”
เฉินเจียฉินเหมือนถูกคำถามยากๆ คำถามนี้ของมู่น่อนน่อนมาหยุดเอาไว้ เขาถลำลึกกับความคิด
มู่น่อนน่อนตบไหล่ของเขาเอาไว้ “ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้วนะ วันนี้ก็ทำเหมือนมาเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน เราเดินเที่ยวกัน เอาให้ทั้งวันไปเลย ดีไหม?”
“อื้อ”
บิดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวของมู่น่อนน่อนก็หายไปแล้ว
น่าจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนเจ็บปวดน่าสงสารเหมือนกับเขา จากนั้นภาพต่อไป ในทางกลับกันกลายมาเป็นเฉินเจียฉินเปลี่ยนมาปลอบใจมู่น่อนน่อนให้สบายใจแทน
……
ทั้งสองคนเที่ยวเล่นกันอยู่ข้างนอกทั้งวัน จนถึงเวลากินข้าวเย็น ทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
วันนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้ขับรถออกมา เลยเดินไปส่งเฉินเจียฉิน จากนั้นเธอจึงกดเรียกรถ Grab ทางอินเทอร์เน็ตแทน
แต่เป็นเพราะว่าการจราจรอันคับคั่ง แต่ยังต้องเข้ารอคิว
เธอนัดรถได้ ก็หยิบโทรศัพท์ออกดูTimeline ของเพื่อน ๆ ใน Wecht
ผลที่ได้ถือเธอไปเจอ Timelineของเฉินเจียฉิน
รูปภาพของเฉินเจียฉินใน Timeline นอกจากการถ่ายรูปกับข้าวแล้ว ก็ยังโพสต์รูปคู่ของทั้งสองคน แถมเขียนโพสต์เอาไว้ “วันนี้สบายใจมาก ต้องมาหาผมพาผมไปเที่ยวบ่อย ๆ นะ”
มู่น่อนน่อนกดถูกใจให้เขา ตอนที่เริ่มรีเฟรชใหม่นั้น ก็เห็นคอมเม้นท์ของฉินถิงเซียวที่มาเขียนเม้นท์อยู่ในรูปใน Timeline ของเฉินเจียฉินเป็นจุด full stop
แม้ว่าจะกั้นแค่หน้าจอโทรศัพท์ก็ตาม แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่า “full stop” ของเฉินถิงเซียวที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
โชคดีที่เธอมองออกถึงนิสัยของเฉินถิงเซียว เขาเป็นคนขี้เหนียว
กำลังบ่นเรื่องเฉินถิงเซียวไม่จบ พอจบปุ๊บเฉินถิงเซียวก็โทรศัพท์เข้ามาหาทันที
ประโยคแรกที่เฉินถิงเซียวพูดก็คือ “คุณไปเที่ยวกับเสี่ยวฉินมาทั้งวันเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
ผ่านไปแวบเดียว เฉินถิงเซียวตอบกลับมาอย่างเฉยเมย “อ้อ”
มู่น่อนน่อน “???”
เวลานั้นเอง เฉินถิงเซียวพูดกำชับมาอีกประโยค “รีบกลับนะ”
“ฉันรู้แล้วค่ะ”
ทั้งสองคนพูดกันไม่กี่ประโยค จากนั้นก็วางสาย
มู่น่อนน่อนเบะปาก ผู้ชายคนนี้ตั้งใจโทรศัพท์เข้ามาหา เหมือนว่าไม่ได้พูดอะไร
การพูดคุยในโทรศัพท์ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำไป
รถที่เธอนัดมานั้นยังไม่มา
จู่ ๆ ด้านหลังของเธอก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “คุณมู่”
พอได้ยินคนเรียกชื่อตนเองโดยที่ไม่ทันระวังตัว มู่น่อนน่อนตกใจเล็กน้อย พลันหันไปมองเฉินเหลียน เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
เธอสงบสติอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ตั้งสติได้จนออกปากถามกลับ “คุณนายซือมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ? ”
“ใช่” เฉินเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงอ้อยอิ่งพอตัว “ฉันหวังว่าคุณมู่ อย่าได้มาพาเสี่ยวฉินของเราออกไปเที่ยว เขาเป็นเด็กและการเรียนก็สำคัญมาก”
พูดเสียเป็นทางการขนาดนี้ แต่มันก็แค่ไม่อยากให้เธอได้มาสนิทสนมกับเฉินเจียฉิน
คำพูดของเฉินเหลียน พูดจาถือว่าไพเราะกว่าเฉินจิ่งหยุ้นมากนัก แต่ก็ไม่สามารถปกปิดคำพูดมีดโกนอาบน้ำผึ้งเอาไว้ได้
“คุณนายซือเป็นห่วงเสี่ยวฉันขนาดนี้ เขารู้ยัง? ถ้าเขารู้ว่าคุณมาพูดกับฉันด้วยคำพูดเหล่านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าอย่างไรดี” มู่น่อนน่อนรู้สึกขยะแขยงเฉินเหลียนมาก
คนที่อยู่ในตระกูลเฉินตั้งมากมาย เธอต่างรู้สึกขยะแขยงทั้งหมด
“คุณมู่ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่อย่างเรา รบกวนคุณอย่าได้บอกเสี่ยวฉิน” น้ำเสียงของเฉินเหลียนไม่เปลี่ยนไปเลย แสดงทัศนคติไม่ช้าหรือเร็วออกมาอย่างชัดเจน
อายุของเฉินเหลียนอายุมากกว่าเฉินจิ่งหยุ้นไปหนึ่งรอบ จึงสุขุมหนักแน่นเก็บอาการเอาไว้ได้
เฉินจิ่งหยุ้นเย่อหยิ่งมาก แทบไม่ไว้หน้ามู่น่อนน่อนเลย พูดจาออกมาก็ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนมองตาเฉินเหลียน พร้อมทั้งพูดจาอย่างช้าๆ “คุณนายซืออาศัยการนับญาติแล้วคุณเป็นผู้อาวุโสนะ อายุฉันกับเสี่ยวฉินก็ห่างกันไม่มากนัก ต่อหน้าคุณฉันก็แค่เด็กคนหนึ่ง ฉันไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร”
เธอพูดจบ ก็ยิ้มให้เฉินเหลียนทันที