ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 334 ยังมีอีกสถานที่หนึ่ง
มู่น่อนน่อนสามารถคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ แล้วทำไมเขาจะคิดไม่ได้ล่ะ
แม้เขาจะเตรียมใจเป็นอย่างดีกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเขาลอกเอาสิ่งบดบังที่อยู่ภายนอกออกทีละน้อย เมื่อความลับที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับความจริงปรากฏขึ้น เขายังคงรู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่น่าเชื่อ
เพราะท้ายที่สุดแล้วล้วนเป็นญาติซึ่งเลือดข้นกว่าน้ำ
เฉินเหลียนดีต่อเขามาโดยตลอด ซือเฉิงหยู้เคยเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเขา เฉินชิงเฟิงก็เป็นพ่อที่ทิ้งความทรงจำที่มีความสุขในวัยเด็กของเขา
เขาเย็นชาแต่ไม่เลือดเย็น เมื่อทุกสิ่งชี้ไปยังความจริงที่เป็นไปได้ เขาจึงเกิดความลังเลไปชั่วขณะ
เขาไม่ได้มั่นใจในทันที และกำลังรอ บางทีเรื่องราวอาจเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอื่น
แต่ว่า แม้แต่มู่น่อนน่อนยังคิดอะไรที่ลึกซึ้งขนาดนั้นได้ แล้วเรื่องนี้ยังจะสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อีกเหรอ
หลายปีมานี้ มีคนมากพอที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
มันควรต้องได้รับการแก้ไขเสียที
……
หลังจากสือเย่พบเฉินถิงเซียวแล้วออกไปเมื่อเช้า ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เขาลองโทรหาเฉินถิงเซียว ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวไม่รับ
เขารู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่มีเหตุผลในเรื่องที่เกี่ยวกับมู่น่อนน่อน เมื่อเช้ายังสูบบุหรี่ไปตั้งมาก ทั้งคู่ต้องทะเลาะกันรุนแรงมากแน่นอน
ยิ่งคิดยิ่งกังวล เขาจึงจำต้องโทรหามู่น่อนน่อน
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นสายขึ้นแสดงว่าเป็นสือเย่ จึงค่อนข้างแปลกใจ “สือเย่? มีเรื่องอะไรเหรอ”
“คุณหญิงน้อย คุณผู้ชายมาหาคุณหรือเปล่าครับ”
สือเย่ติดนิสัยเรียกมู่น่อนน่อนว่า “คุณหญิงน้อย” มู่น่อนน่อนแก้ให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาก็ยังคงเรียกแบบนี้ มู่น่อนน่อนจึงปล่อยเลยตามเลย
“เขาควรอยู่บริษัทไม่ใช่เหรอ ทำไมจะมาหาฉันล่ะ” มู่น่อนน่อนกำลังตรวจสอบข้อมูลหน้าคอมพิวเตอร์ ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้อยู่บริษัทเหรอ”
สือเย่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็ยิ่งกังวล
“เอ่อคือ……” สือเย่อยากถามว่าพวกเขาทะเลาะกันใช่หรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างยากที่จะพูด
“คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆ เถอะ” มู่น่อนน่อนผลักคอมพิวเตอร์ตรงหน้าออกเล็กน้อย แล้วคุยโทรศัพท์กับสือเย่อย่างจริงจัง
สือเย่กัดฟันก่อนจะถามว่า “คุณ……ทะเลาะกับคุณผู้ชายหรือเปล่าครับ”
การเป็นผู้ช่วยในแบบเขา เกรงว่าจะมีไม่เยอะ
นอกจากต้องคอยใส่ใจเฉินถิงเซียวเกี่ยวกับที่ที่กำลังอยู่ กำหนดการ และชีวิต ยังต้องใส่ใจด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย……
มู่น่อนน่อนปฏิเสธทันที “ใครจะไปกล้าทะเลาะกับเขา! ไม่ได้มีเรื่องอะไรค่ะ”
ไหนเลยเธอจะกล้าทะเลาะกับเฉินถิงเซียว ส่วนใหญ่เวลาที่เธอหาเรื่องเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวแค่เหลือบมองก็หยุดเธอได้แล้ว
ทะเลาะกันน่ะเหรอ ไม่มีทาง
“ไม่งั้นเหรอครับ” คราวนี้สือเย่เริ่มประหลาดใจ “เมื่อเช้า คุณผู้ชายสูบบุหรี่ในห้องทำงานหมดทั้งกล่องเลยนะครับ”
ที่แท้ที่เฉินถิงเซียวสูบบุหรี่หนัก ไม่ใช่เป็นเพราะทะเลาะกับมู่น่อนน่อน
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ มู่น่อนน่อนก็นั่งไม่ติดทันที จนต้องลุกจากเก้าอี้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เธอคุยโทรศัพท์ไปพลางหยิบกระเป๋าตัวเอง เดินไปถึงประตูและเปลี่ยนรองเท้า ก่อนจะตรงออกไปข้างนอก
น้ำเสียงของสือเย่เคร่งขรึม “ผมก็ไม่ทราบครับ คุณผู้ชายออกไปเมื่อเช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยครับ”
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีวินัยในตนเองสูง ทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่เอาจริงเอาจังและมุ่งมัน ไม่เคยเลิกงานครึ่งวันแล้วหายออกไปกะทันหัน
แน่นอนว่า ถ้าหากออกไปเพราะมู่น่อนน่อน อันนี้ไม่นับรวม
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะออกไปตามหาเขา”
มู่น่อนน่อนวางสาย ลงไปชั้นล่างแล้วขับรถออกไป
ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียวแน่ ถึงได้สูบบุหรี่ทั้งกล่องจนหมด
ตอนเช้าที่ออกไปยังดีๆ อยู่เลย ทำไมไปบริษัทแล้วเป็นแบบนี้
มู่น่อนน่อนขับรถไปพลางโทรหาเฉินถิงเซียวไปพลาง
เฉินถิงเซียวไม่รับสาย แต่ส่งข้อความกลับมาหาเธอ มีแค่สามคำธรรมดาๆ “มีอะไร”
มู่น่อนน่อนถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่ตอบ
มู่น่อนน่อนไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงไปโรงแรมจีนติ่ง……
เธอไปตามหาทุกที่ที่เธอสามารถหาได้ จนสุดท้ายจึงโทรไปหากู้จือหยั่น
“น่อนน่อน มีอะไรเหรอ” กู้จือหยั่นรู้ในภายหลังว่าผู้ชายที่จูบมู่น่อนน่อนในรถคือเฉินถิงเซียว สำหรับประเด็นที่เข้าใจมู่น่อนน่อนผิด เขายังคงแอบเสียใจเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อรับสายของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนถามตรงๆ “คุณได้เจอเฉินถิงเซียวไหม”
แม้เฉินถิงเซียวจะตอบข้อความเธอกลับ แต่ล่าสุดไม่รับสายของเธอเลย มู่น่อนน่อนจึงรู้สึกไม่สบายใจ
จากคำบอกเล่าของสือเย่ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้ ที่เฉินถิงเซียวกำลังอารมณ์ไม่ดี
“ไม่มีนะ! ตอนนี้ผมเจอคุณชายเฉิน ก็เหมือนพลเรือนเจอจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลงพื้นที่มาสืบราชการลับ ไหนเลยผมจะสามารถเจอเขาได้ล่ะ!”
พูดถึงเรื่องนี้ กู้จือหยั่นก็รู้สึกโกรธ
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ “ฉันรู้แล้ว”
เห็นมู่น่อนน่อนกำลังจะวางสาย กู้จือหยั่นจึงรีบถามว่า “มีอะไรเหรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา”
“ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ที่ที่ควรหาก็หาหมดแล้ว ยังหาเขาไม่เจอเลย” น้ำเสียงมู่น่อนน่อนค่อนข้างอ่อนแรง
เธอคิดว่าตัวเองรู้จักเฉินถิงเซียวดีแล้ว แต่ในเวลาแบบนี้ถึงได้พบว่า อันที่จริงเธอไม่ได้รู้จักเขาดีพอ
“อืม…….” กู้จือหยั่นไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะพูดว่า “ยังมีอีกที่ คุณต้องไม่เคยไปหาแน่!”
มู่น่อนน่อนถามทันที “ที่ไหน”
กู้จือหยั่น “สุสาน!”
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับกู้จือหยั่นนัดพบกันตรงประตูเสิ้งติ่ง ก็ไปยังสุสานของแม่เฉินถิงเซียวด้วยกัน
ตลอดมาเฉินถิงเซียวยังไม่เคยพาเธอไปที่นั่นเลย
ระหว่างทางมู่น่อนน่อนเห็นร้านดอกไม้ จึงซื้อดอกไม้หนึ่งช่อ
กู้จือหยั่นที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ เมื่อเห็นเธอซื้อจึงพูดว่า “ตั้งใจดีจัง”
สองคนไปสุสานด้วยกัน กู้จือหยั่นไม่ได้ขับรถ
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มบาง
เมื่อทั้งคู่ถึงสุกสาน จู่ๆ ฝนก็เริ่มตก
ยังดีที่มู่น่อนน่อนมีร่มสำรองอยู่ในรถ
กู้จือหยั่นจะพาเธอขึ้นไป ทั้งคู่จึงถือร่มคันเดียวขึ้นไปด้วยกัน
ช่วงเวลานี้ ภายในสุสานเงียบมาก ตลอดทางไม่เห็นคนมาไหว้สักการะ
สุสานถูกสร้างขึ้นบนเนินเขา หลังจากมู่น่อนน่อนขึ้นไป จึงได้เห็นร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านในระยะไกล
“นั่นเฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนพูดอย่างนั้นแล้วจึงวิ่งไปหาเขา
กู้จือหยั่นวิ่งถือร่มตามหลัง “ฝนตกอยู่นะ คุณวิ่งทำไม! อยู่ตรงหน้าแล้ว แค่เดินไปก็ได้!”
มู่น่อนน่อนไม่ฟังเขาเลย เขาได้แต่ถือร่มวิ่งตามมู่น่อนน่อนไป
ปรากฏว่า เขาพบว่าตัวเองตามมู่น่อนน่อนไม่ทัน……
“เฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนวิ่งไปพร้อมกับดอกไม้ในอ้อมแขน
ฝนตกหนักมาก เสื้อผ้าบนตัวเฉินถิงเซียวชุ่มน้ำไปหมด ผมสีดำเปียกโชก เส้นผมขมวดหยิก ดูค่อนข้างยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันตรงไหน
เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเวลามามัวพูดอะไร เธอหันไปมองยังหลุมศพ
ฝนตกหนักมากเสียจนดวงตาของเธอแทบลืมไม่ขึ้น