ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 375 จัดการเด็กคนนั้นทิ้งซะ
เฉินถิงเซียงยิ้มแห้งๆ ออกมา จากนั้นก็เดินก้าวเท้าเข้ามาในประตูใหญ่
เฉินจิ่งหยุ้นลงจากรถตามมาด้านหลัง ก็เห็นรถยนต์ของซูเหมียน
งี่เง่าชะมัด!
เฉินถิงเซียวรักเฉินมู่มาก คนมีตาก็สามารถมองออกกันทั้งนั้นแหละ
ในทางกลับกันถ้าซูเหมียนดีพอ ซึ่งเมื่อวานพาเฉินมู่ออกไปจนเกือบจะหายตัวไปแล้ว วันนี้ยังมาที่บ้านตระกูลเฉินอีก
นี่ใม่ใช่การจงใจหาเรื่องใส่ตัวจากเฉินถิงเซียวหรอกเหรอ?
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป บรรดาบ่าวไพร่ก็เริ่มเดินมาดักหน้าพร้อมกับรับเสื้อโค้ตของเขาไว้ทันที
ไม่ต้องรอให้เขาออกปาก ก็มีบ่าวไพร่เริ่มพูดเขากับเขา “คุณหนูน้อยอยู่ในห้องครัวกับคุณหนูซู”
บ่าวไพร่ในบ้านต่างรู้ดี ทุกวันที่เฉินถิงเซียวเลิกงานมาและสนใจเป็นสิ่งแรก ก็คือการไปดูเฉินมู่
เฉินถิงเซียวเดินมุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันที
ตอนที่เข้าเดินเข้าไปนั้น ซูเหมียนกำลังปอกผลไม้อยู่บนท็อปเคาน์เตอร์ครัว
เธอปอกผลไม้ไปด้วย และพูดคุยกับเฉินมู่ไปด้วย
“กินผลไม้เยอะๆ จะได้สวยขึ้นนะ…”
เฉินมู่นั่งอยู่บนท็อปเคาน์เตอร์ครัวขาสั้นๆ ทั้งสองข้างแกว่งสลับกันไปมา และก็ไม่รู้ว่าเธอนั้นฟังอยู่หรือเปล่า พลางยื่นมือตุ้ยนุ้ยออกไปหยิบแตงโมชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก
เธอเพิ่งเอาแตงโมยัดใส่ปากไป พลันหันศีรษะไปมองเฉินถิงเซียว
“เฉินชิงเซียว” ปากของเฉินมู่ยังคงถือแตงโมที่ยังกินไม่หมด น้ำเสียงอู้อี้ และจ้องมองเฉินถิงเซียวที่ยื่นมือเพื่อแสดงความหมายต้องการกอดเธอ
เฉินถิงเซียวเขยิบเข้าใกล้ พลางยื่นมือออกไปอุ้มเธอขึ้นมา และยื่นมือออกไปเช็ดน้ำแตงโมที่มุมปากเธออย่างรังเกียจ น้ำเสียงเริ่มแสดงอาการเบื่อหน่ายที่ไม่ค่อยได้เห็น “เรียกคุณพ่อสิคะ”
เฉินมู่ส่งเสียงเรียกดังฟังชัด “คุณพ่อ!”
ทุกครั้งที่เขากลับมา เฉินมู่ก็จะทำแบบนี้กับทุกครั้งไป
สำหรับเรื่องการท้าทายอำนาจของพ่อที่เป็นประธานบริษัท ถือว่าเป็นเรื่องเพลิดเพลินอย่างไม่มีวันเบื่อของเฉินมู่เลยแหละ
“ถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงแล้วก็เงยหน้ามาทางซูเหมียน
ซูเหมียนวางอาหารที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็ยิ้มหวานตอนมองเขา
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาอย่างไม่แสดงความหมายใด จากนั้นก็อุ้มเฉินมู่และเดินออกไปทันที
เขาไม่ได้โกรธเคืองตามที่ซูเหมียนได้จินตนาการคาดคิดเอาไว้เลย นัยน์ตาของซูเหมียนทอประกายความยินดีออกมา
ที่แท้ เธอใช้เฉินมู่เป็นจุดสำคัญนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว
ตอนเด็กเฉินมู่ก็ยังดี เพราะไม่สามารถพูดและไม่สามารถเดินเองได้ ดูแล้วเป็นเด็กทั่วไปคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับมาดูใหม่อีกที่ช่างเหมือนกับมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยเพราะเหตุนี้ ซูเหมียนมองเฉินมู่แล้วก็ยิ่งรำคาญขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ในใจของเธอก็เกิดความคิดว่าต้องจัดการเฉินมู่ให้สิ้นซาก
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอก็แค่ลองใจดูว่าตกลงแล้วเฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับเฉินมู่ขนาดไหนก็เท่านั้นเอง
เฉินมู่มีความสำคัญมากกับเฉินถิงเซียว เธอสามารถเอาใจเฉินมู่จนเป็นที่โปรดปรานได้ แล้วค่อยทำให้เฉินถิงเซียวยอมรับในตัวเธอ
รอวันที่เธอแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลเฉิน จนตั้งท้องลูกของเฉินถิงเซียวแล้ว…
เรื่องเฉินมู่คนนั้น เธอสามารถคิดหาวิธี ในการจัดการเด็กคนนั้นให้สิ้นซากไป
ซูเหมียนรู้สึกว่าแผนการอันนี้ของตนเองช่างวิเศษสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
……
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไปยังห้องหนังสือ
เขาเอาเฉินมู่ วางลงบนโต๊ะทำงาน เฉินมู่ก็เอี้ยวร่างกายเล็กไปหยิบเอาที่ใส่ปากกาขึ้นมา
“อย่าแตะต้องนะ!” เฉินถิงเซียวส่งเสียงเคร่งขรึมออกมา จนทำให้เฉินมู่หดมือกลับทันที พร้อมทั้งเงยหน้ามองเขาอย่างคาดหวังทันที
เฉินถิงเซียวดึงเก้าอี้ออกมาหนึ่งตัว
ตอนที่เขานั่งลงนั้น สายตาก็เสมอกับเฉินมู่พอดี พร้อมทั้งแสดงท่าทางเคร่งขรึมและจริงจังมาก พร้อมทั้งพูดคุยเหมือนตอนที่กำลังเจรจาเรื่องเซ็นสัญญาเลย
“ชอบแม่ไหม?”
ตอนนี้เฉินมู่รู้ความหมายของคำว่า “ชอบ” ว่าหมายถึงอะไรแล้ว
เธอกะพริบตาปริบๆ และจ้องมองมาทางเฉินถิงเซียวอยู่หลายครั้ง และยังพยักหน้าด้วยใบหน้าเล็กๆ ด้วยท่าทางจริงจัง
ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอนอกเหนือความคิดของเฉินถิงเซียว
เขากอดอกและเอนหลังพิงไปด้านหลัง และเปลี่ยนวิธีถามทันที “แม่กับพี่สาวคนสวย หนูเลือกใครคะ?”
ดวงตาของเฉินมู่พลันทอประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยักไหล่ขึ้น และแสดงท่าทางเขินอายออกมา น้ำเสียงดีใจอย่างลิงโลดที่ไม่สามารถซ่อนเร้นเอาไว้ได้ “พี่สาวคนสวยค่ะ!”
คำตอบของเธอ ถือว่าทำให้เฉินถิงเซียวแปลกใจอยู่บ้าง
แม้ว้าซูเหมียนจะไม่ได้ใช้เวลากับเฉินมู่มากนัก แต่อย่างไรถือว่ามาหาเธออยู่บ่อยครั้ง ไม่คิดเลยว่าเธอจะเลือกเฉินมู่
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปเล็กน้อยเพื่อปัดผมหน้าม้าที่ยุ่งเหยิงอยู่ตรงหน้าผาก และเอ่ยปากถามหน้าตาเฉย “พี่สาวคนสวยกับพ่อ หนูเลือกใครคะ?”
และแทบไม่มีอาการลังเลแต่อย่างใด เฉินมู่ก็ตอบเสียงดังลั่น “คุณพ่อ!”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ได้แต่หลุบตาต่ำ ก็เห็นเฉินมู่ที่เงยหน้าและยิ้มหวานให้เขา
ก้นบึ้งหัวใจของเฉินถิงเซียวอ่อนระทวยทันที จากนั้นก็พลันคิดถึงภาพที่บังเอิญเจอลูกน้องคนหนึ่งกำลังเดินจูงมือลูกเดินเที่ยวเล่นที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้
เวลานั้นเขาจำได้ว่าลูกน้องที่ดูแลเด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ
เหมือนว่า… เจ้าหวานใจตัวน้อยเหรอ?
งั้นก็ชื่อเจ้าหวานใจตัวน้อยนะเหรอ?
เฉินมู่แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเจ้าหวานใจตัวน้อยต่างหาก
เฉินถิงเซียวใช้แขนดึงเล็กน้อย ก็ยื่นมือออกไปดึงเฉินมู่เข้ามาอยู่ในอ้อมอก และใช้น้ำเสียงเหมือนเป็นพูดคุยเจรจา “งั้นพวกเราไปเป็นเพื่อนบ้านกับพี่สาวคนสวยเป็นไง?”
เฉินมู่รีบพยักหน้าทันควัน “ค่ะ!”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเบาๆ “ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำคำว่าเพื่อนบ้านมันหมายความว่ายังไง”
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็พาเฉินมู่ไปยังห้องของเธอเพื่อช่วยเธอเก็บสัมภาระ
ตอนที่เก็บสัมภาระมาได้ครึ่งหนึ่งนั้น เฉินถิงเซียวก็หยุดมืออย่างกะทันหัน
ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับการทำเรื่องพวกนี้นะ เหมือนว่าในอดีตเขาเคยทำเรื่องนี้มาแล้ว
ตอนที่เขาเอากระเป๋าสัมภาระ พร้อมทั้งเดินจูงมือเฉินมู่ลงมา เฉินจิ่งหยุ้นกำลังให้ซูเหมียนขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกพวกเขาให้ลงมากินข้าว
ซูเหมียนเห็นว่าเฉินถิงเซียวถือกระเป๋าสัมภาระลงมา จนหน้าแข็งทื่อไปทันที “เก็บกระเป๋าสัมภาระทำไม? คุณจะไปไหนคะ?”
เฉินถิงเซียวเตรียมจะอ้าปากพูด ก็คิดอะไรขึ้นมาได้และก้มหน้าเหลือบมองเฉินมู่
จากนั้น เขาก็ใช้สายตาอันแสนเย็นยะเยือกกวาดตามองซูเหมียน แถมไม่พูดอะไรทั้งนั้น และจัดการอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว และลากกระเป๋าเดินทางมุ่งหน้าด้านไปยังด้านนอก
ซูเหมียนหน้าตาถอดสีทันที พลางหันตัวมุ่งหน้าไปหาเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ในห้องครัว
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นวิ่งตามนั้น เฉินถิงเซียวก็อุ้มเฉินมู่ขึ้นไปนั่งในรถแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นวิ่งเข้ามาหา และพยายามใช้แรงทุบกระทบ “ถิงเซียว แกจะไปไหน!”
เฉินถิงเซียวลดกระจกลง “ไปหาที่สงบๆ สักหน่อย”
พูดจบ เขาก็เลื่อนกระจกขึ้น และขับรถออกไป ทิ้งเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังกรีดร้องอย่างคนบ้าคลั่งเอาไว้ทางด้านหลัง
“ถิงเซียว! เฉินถิงเซียว! แกกลับมาเดี๋ยวนี้!”
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหจนปวดหัว จากนั้นก็หันกลับเข้าประตูพร้อมกับสั่งกำชับกับบอดี้การ์ด “รีบไปตามเขากลับมาให้ฉัน!”
เธอไม่สามารถปล่อยให้เฉินถิงเซียวหลุดรอดสายตาของเธอไปได้
พอเฉินถิงเซียวหลุดไปจากสายตาของเธอแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันว่าสิ่งที่ควบคุมไม่ได้จะเกิดขึ้น
บางที่เขาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตได้ บางทีอาจจะเชื่อคำพูดของพวกกู้จือหยั่น…
ซูเหมียนเองก็ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเย็นชาถึงเพียงนี้ เธอพลันพูดปลอบโยนเฉินจิ่งหยุ้นทันที “จิ่งหยุ้นแกอย่าเพิ่งใจร้อน ถิงเซียวเขา…”
“หุบปากไปเลย!” สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูย่ำแย่มากและตะคอกกลับมาเสียงเข้ม “ทุกอย่างมันเป็นเพราะว่าแกทำเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น! เมื่อวานนี้แกเกือบทำให้มู่มู่หายตัวไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็โมโหอยู่แล้ว วันนี้แกดันเสนอหน้ามาที่บ้านตระกูลเฉินอีก!”
ฐานะทางบ้านของซูเหมียนก็ไม่ได้ย่ำแย่สักนิด ตั้งแต่เด็กจนโตก็มีคนคอยเอาอกเอาใจเธออยู่รอบตัว สามารถพูดได้เต็มปากว่าเติบโตมาท่ามกลางคาบช้อนเงินช้อนทองมาด้วยซ้ำ
นอกจากการมาพ่ายแพ้เฉินถิงเซียวที่นี่แล้ว เธอก็ไม่เคยถูกใครใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเธอเลย
เธออดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะให้ถิงเซียวเขายอมรับในตัวฉันเร็วๆ หรอกเหรอ? ฉันรอมาสามปีแล้ว! จะมีผู้หญิงสักที่คนที่สามารถรอได้สามปี นี่ฉันอายุปาเข้าไปสามสิบแล้วนะ!”