ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 393 คุณมู่ ช่วยมากับพวกเราด้วยครับ
วันที่มู่หวั่นขีถูกปล่อยตัวออกมา ก็เป็นวันที่ลี่จิ่วเชียนตัดไหมแล้วออกจากโรงพยาบาลพอดี
มู่น่อนน่อนพาลี่จิ่วเชียนไปตัดไหมที่แผลเสร็จ ก็จัดการเอกสารเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จ ก็ไปเก็บของที่ห้องพักผู้ป่วย เธอก็เจอเข้ากับมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีก็ยังคงแต่งหน้าจัดเหมือนเดิม เดือนแรกของฤดูใบไม้ร่วง เธอสงสัยเป็นเดรสกระโปรงบางสีดำ นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาในห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าอึมครึม
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินเข้ามาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีอืดอาด ” จะเตรียมออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ? ไม่คิดจะให้โอกาสฉันได้ขอโทษขอโพยหน่อยหรือไง เห็นฉันเป็นคนนอกไปได้ ”
เมื่อเธอพูดจบก็ยื่นมือออกมา แล้วหันไปมองตัวแทนที่อยู่ข้างหลัง
คนที่เป็นตัวแทนก็รีบเอากระเช้าผลไม้ส่งมาให้ แล้วเอากระเช้าผลไม้วางไปที่มือของมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีก็เอากระเช้าผลไม้อันนั้นยื่นไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน ” รับไปสิ คำขอโทษสำหรับพวกเธอ ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงขอไปที ไม่ได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย
เธอตั้งใจจะมาขอโทษเสียที่ไหน เห็นอยู่ทนโท่ว่าจะมาสร้างปัญหาให้มู่น่อนน่อนมากกว่า
มู่น่อนน่อนพยายามทำหน้านิ่ง และพูดออกไป ” เธอออกมาได้ยังไง? ”
” แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะพวกเขาบอกให้ฉันออกมาน่ะสิ ” มู่หวั่นขีเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็โยนตะกร้าผลไม้ในมือลงพื้น แล้วเอี้ยวตัวไปข้างหน้า ขนาบไปข้างหูของมู่น่อนน่อน และพูดเน้นคำชัดเจน” ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ อย่าหวังว่าแกจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขเลย! ”
มู่น่อนน่อนกัดปากแม่ง เชิดหน้ารับไม่มีท่าทีจะถอย ” ถ้างั้นก็จัดมาเลย! ”
” เหอะ! ” มู่หวั่นขีทำเสียงเย็น ” วางใจเถอะ นี่มันแค่อาหารเรียกน้ำย่อยของเธอเท่านั้น ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็ยิ้มแล้วกลับไปยืนตรงดังเดิม ” ไว้เจอกันครั้งหน้านะ ”
น้ำเสียงที่พูดออกมาดูผ่อนคลายไร้ซึ่งความเกลียดชัง แต่ดูสนิทสนม
มู่หวั่นขีเพิ่งพอใจที่เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนกลางและบอดี้การ์ดที่ติดตามเธอมาด้วย ก็เริ่มพากันเดินออกไป
มู่น่อนน่อนหลับตาและพยายามสูดหายใจลึกๆ พอจะเดินออกไปข้างนอก ลี่จิ่วเชียนก็เข้ามา พร้อมกับกำลังผลักประตูเข้ามาพอดี
เขาเป็นคนที่ช่างสังเกตและระมัดระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาก็ไปสะดุดตาเข้ากับกระเช้าผลไม้ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
จึงเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน เมื่อเห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงอดไม่ได้ที่จะถาม ” เป็นอะไรไป? ใครมางั้นเหรอ? ”
” มู่หวั่นขี ” มู่น่อนน่อนกัดปากแน่น ” ไม่นึกว่าเธอจะออกมาได้เร็วขนาดนี้ ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ” จะเป็นไปได้ยังไง? เธอเป็นแค่นักแสดงธรรมดาไม่ใช่เหรอ? หรือว่าจะมีแบล็กหลังที่มีอำนาจมาก ”
” เสี่ยวเหลียงบอกว่า เธอคือพี่สาวต่างแม่ของฉัน ฉันกับเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ฉันเคยสืบเรื่องของบริษัทมู่ซื่อแล้ว บริษัทก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ฉันรู้สึกว่าต้องไม่ใช่คนในครอบครัวที่คอยช่วยเหลือเธอแน่นอน ”
สิ่งที่มู่น่อนน่อนสามารถรู้ได้ก็มีแค่เท่านี้ ถ้ามีเวลาเธอคงต้องตามหาตัวเสิ่นเหลียงถ้ารู้สถานการณ์ตอนนี้ให้มากกว่าเดิม
เธอคิดและจดจ้องถึงมันอย่างไม่ละสายตา แล้วเธอต้องเงยหน้าพร้อมพูดกับลี่จิ่วเชียน ” เราอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้ ไปกันเถอะ ”
………
รถของลี่จิ่วเชียนถูกชนจนพังยับ หลังจากทั้งสองออกจากโรงพยาบาลจึงต้องเรียกรถแท็กซี่แทน
เพียงแต่ว่า เมื่อรถแท็กซี่ขับออกไปได้ไม่ไกล ก็ถูกรถสีดำหลายคันจอดเอาไว้
ภายในรถสีดำก็มีบอดี้การ์ดตัวสูงใหญ่หลายคนลงมา แล้วเดินตรงมาเปิดประตูรถแท็กซี่ออก
คนขับรถที่เห็นดังนั้น ก็พูดออกไปด้วยความตกใจว่า ” พวกแกเป็นใคร? จะทำอะไร? ฉันแจ้งตำรวจแล้วนะ…. ”
บอดี้การ์ดไม่สนคำพูดของคนขับรถด้วยซ้ำ พวกเขาลากคนขับรถลงไปทันที
เมื่อคนขับรถเห็นพวกเขากรูกันเข้ามา ก็ไม่กล้ามีปากมีเสียง จึงกลิ้งลงจากรถแล้วรีบวิ่งหนีไป
บอดี้การ์ดพวกนั้นเปิดประตูหลังของรถ และพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ” คุณมู่ เชิญไปกับพวกเราด้วยครับ ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียน สายตาเธอมองไปที่ใบหน้าขาวซีดของเขาเพียงสองวินาที ก็หันไปมองพวกบอดี้การ์ดและพูดว่า ” ฉันไปกับพวกคุณได้ แต่คุณจะต้องบอกฉันว่าใครส่งคุณมา? ”
ลี่จิ่วเชียนต้องมารับกรรมเพราะเธอไปแล้ว ทั้งที่แผลนี้ก็ยังไม่หายดีก็ยังจะเกิดเรื่องขึ้นอีก เธอไม่อยากให้เขามาพัวพันอีกแล้ว
เมื่อลี่จิ่วเชียนที่อยู่อีกฝั่งได้ยินที่เธอพูด เพื่อเขากำลังจะอ้าปากเอ่ยคำใดออกมา มู่น่อนน่อนก็ทำหน้านิ่งแล้วยกมือกดไปที่แขนเขา
คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่มู่หวั่นขีสั่งมาแน่นอน เพราะมู่หวั่นขีเพิ่งเจอกันไปเมื่อกี้
แต่ก็อาจจะไม่ใช่คนที่เฉินถิงเซียวส่งมาด้วย เพราะถ้าเฉินถิงเซียวมาหาเธอ ก็คงจะให้สือเย่โทรหาเธอโดยตรงหรือให้สือเย่ส่งคนมาหาเธอ
แต่ว่านอกจากสองคนนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้อีก
จะต้องรีบฟื้นคืนความจำให้ได้ ตอนนี้เธอถูกกระทำมามากพอแล้ว
การถูกกระทำดูเหมือนจะยากลำบากเสียเหลือเกิน
” ถ้าไปเดี๋ยวก็รู้เอง ” บอดี้การ์ดพูดจบ ก็คว้าแขนเตรียมจะดึงตัวมู่น่อนน่อนออกไป
แน่นอนว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่ยอมปล่อยให้เธอโดนเอาตัวไปอย่างแน่นอน
ในขณะที่อยู่เส้นยาแดงผ่าแปดนั้น ก็มีรถหลายคันขับเข้ามาจอดอยู่ริมถนนอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนมองหาหน้าต่างรถ ก็เห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้านำลงมาคือสือเย่
มู่น่อนน่อนรีบตะโกนติดๆ กันออกไป” ผู้ช่วยสือ! ”
สือเย่ก็รีบพาคนกรูเข้ามาเช่นกัน เดิมทีจะจัดการกับพวกที่พยายามจะเอาตัวมู่น่อนน่อนไปให้เรียบร้อย
สือเย่เดินมาหน้ารถ แล้วพูดอย่างสุภาพ ” คุณมู่ มีเรื่องที่ต้องให้คนไปกับพวกเราครับ ”
” ได้สิ ” มู่น่อนน่อนไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงไปแต่อย่างใด และรีบตอบตกลงทันที
ลี่จิ่วเชียนที่อยู่อีกครั้งในเวลานั้นก็พูดออกมาว่า ” ผมไปกับคุณด้วยนะครับ ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็เชยตามองสือเย่
สือเย่ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็พยักหน้าเป็นนัยว่าอนุญาต
ลี่จิ่วเชียนคนนี้ช่างน่าสงสัย ดูไม่มีที่มาที่ไป
แต่ยังไงเขาก็ช่วยมู่น่อนน่อน ตอนนี้ก็ยังเป็นคนที่อยู่ร่วมกันกับมู่น่อนน่อนอีก ให้เขาได้รู้สถานะที่แท้จริงของมู่น่อนน่อนก็ยังดี
……….
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนถูกสือเย่พาไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ภายในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง
มู่น่อนน่อนหันหน้ามาถามสือเย่ ” เมื่อก่อนฉันเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ? ”
” เมื่อก่อนคุณมู่กับคุณชายเป็นสามีภรรยากัน แน่นอนว่าคุณก็ต้องเคยมาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินแห่งนี้ ” สือเย่พูดจบ ก็สาวเท้าเดินนำทางไป
ในห้องโถงใหญ่ เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นสองคนนั่งประจันหน้ากัน บรรยากาศดูเคร่งขรึมแปลกๆ
เฉินมู่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนโซฟาอีกฝั่ง ในมือถือเป็นโมเดลเสือตัวน้อย ในอีกมือก็ถือเป็นหุ่นยนต์ ปากก็พึมพำตามประสา
สือเย่พาเธอเข้าไปแล้ว ก็มุ่งตรงไปยืนอยู่หน้าเฉินถิงเซียว ” คุณชายครับ ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น สายตามองผ่านตัวลี่จิ่วเชียนไปแล้วหยุดอยู่ที่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้จักแค่เฉินถิงเซียวไม่ได้รู้สึกคุ้นหน้าเฉินจิ่งหยุ้นแต่อย่างใด ดังงั้นก็เลยมองเธอผ่านๆ
แต่เฉินจิ่งหยุ้นกลับไม่นิ่งเฉยขนาดนั้น
สามปีก่อน เธอคิดว่ามู่น่อนน่อนได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินข่าวว่ามู่น่อนน่อนชีวิตอยู่ ก็ไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่
จนกระทั่งเธอรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวหาคนเทียบDNAเฉินมู่กับมู่น่อนน่อนและหยิบยกข้อมูลมาจากฐานข้อมูลDNAด้วย
และอีกด้านหนึ่ง แล้วก็จัดแจงให้คนไปสืบหาข้อมูลของมู่น่อนน่อน
หากมู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ เธอก็คงจบเห่อย่างแน่นอน
แต่ว่า คนของเธอดันช้าไปก้าวหนึ่ง
สีหน้าที่ซีดเผือดของเฉินจิ่งหยุ้นมองไปยังมู่น่อนน่อน ความตื่นกลัวและความตกตะลึงภายในใจผสานเข้าด้วยกันสายตาก็จดจ้องไปที่เธอด้วยความตื่นตระหนก ” มู่น่อนน่อน แกยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ! ”
ประโยคนี้ มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินเป็นครั้งแรก
และดูเหมือนทุกคนก็ตกใจที่เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่