ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 410 เฉินถิงเซียวคล้อยตามเธอ
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็หรี่ตาลงแล้วถามว่า “เช่น? ”
“นอกจากเหตุผลใหญ่ๆ สามข้อนั้นแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง ก็คือการสะกดจิต” คำสุดท้าย น้ำเสียงของหมอเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม
“สะกดจิต? ” เฉินถิงเซียวหน้าเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
สองคำนี้ไม่ธรรมดาในชีวิตคนเราเท่าไหร่นัก
“”มีนักจิตวิทยาบางคนที่มีระดับการสะกดจิตระดับหนึ่ง แต่พวกเขาทั้งหมดช่วยผู้ป่วยจิตบำบัดไว้ได้……” พอหมอพูดแบบนี้แล้ว สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป “แต่ไม่จำกัดเพียงเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาทางจิตได้เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยของผู้ถูกสะกดจิตและแม้กระทั่งผนึกความทรงจำเอาไว้”
พอเขาพูดจบ ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็ได้ยินแค่ข่าวลือ คุณลองถามคนทำงานที่เกี่ยวข้องดูก็ได้ ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”
เมื่อหมอพูดจบเขาก็ลุกขึ้นและรีบออกไป
แต่เมื่อเขาเดินไปที่ประตู เขาก็ถูกผู้คุ้มกันหยุดไว้
ลูกน้องเดินเข้ามาหาเฉินถิงเซียวแล้วก็เอ่ยถาม “คุณผู้ชาย?”
เฉินถิงเซียวชูมือขึ้น “ปล่อยเขาไป”
……
มู่น่อนน่อนนั่งรออยู่ในรถจนหิวแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้พาหมอกลุ่มหนึ่งออกมาจากโรงพยาบาล แถมในมือยังถือถุงพลาสติกสีขาวมาด้วย
เฉินถิงเซียวให้บอดี้การ์ดขึ้นรถคันอื่น แต่เขาเดินตรงไปที่หน้ารถ เปิดประตู โยนถุงพลาสติกในมือไปที่เบาะหลัง แล้วนั่งที่เบาะคนขับ
มู่น่อนน่อนนั่งพิงเก้าอี้ พร้อมกับหันหน้าไปมองเขา
เขาพบว่าการสีหน้าของเขาไม่ต่างจากเมื่อก่อน และไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เลย และเธอไม่สามารถเดาได้ว่าเขาเพิ่งทำอะไรในนั้น
เธอหันหน้าและมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอแค่อยากจะกลับบ้านเร็วๆ เท่านั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉินมู่อยู่บ้านคนเดียวทำอะไร
รถเคลื่อนตัวช้าๆ และห้องโดยสารก็เงียบมากจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกันเท่านั้น
“อยากกินอะไร?”
ทันใดนั้นเสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นภายในห้องโดยสาร มันกะทันหันเล็กน้อย
“คำถามนี้ฉันควรเป็นคนถามคุณไม่ใช่เหรอ? ”มู่น่อนน่อนก้มหน้าดูเวลา ก็พบว่าเป็นเวลาทุ่มหนึ่งแล้ว
เวลานี้ถ้าจะกลับไปทำอาหารที่ผ่าน ก็ถือว่าช้าไปหน่อย
ดังนั้น เธอก็เลยพูดเสริม “คุณอยากจะไปกินข้าวของนอกเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เขาจอดรถหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วก็ใช้การกระทำในการบอกเธอว่า เขาวางแผนจะกินข้าวนอกบ้านจริงๆ
มู่น่อนน่อนตามเขาลงรถไปแลกเปลี่ยนคำว่า “มู่มู่อยู่บ้านคนเดียวนะ”
เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอ ในสายตาเขาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ต้องบอกก็รู้”
ช่างมันเถอะ เธอไม่สนใจหรอกว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไร เธอจะกลับไปก่อน
ถึงแม้ว่าที่ว่าจะมีคนใช้เยอะ แต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกไม่วางใจ
พอรู้สึกได้ว่าคนด้านหลังไม่เดินตามมา เฉินถิงเซียวก็หันหน้าไป แค่มองก็รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แล้วก็เลยพูดว่า “ตอนนี้รถติด จะกลับไปอย่างน้อยก็ใช้เวลาชั่วโมงหนึ่ง คุณไม่หิวเหรอ?”
“ฉันไม่……”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงทองของเธอก็ร้องดัง “จ๊อกๆ ”
การตบหน้าที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาขณะนี้ ค่อนข้างที่จะน่าอายไปหน่อย
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิมเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กวักมือเรียกเธอให้รีบไป
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องรีบยกเท้าตามเขาไป
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน เฉินถิงเซียวยื่นเมนูไปตรงหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างประหลาดใจ นี่เฉินถิงเซียวก็มีเวลาที่เป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันเหรอ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับ “คุณสั่งเถอะ”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย รับเมนูกลับไปแล้วก็เริ่มสั่งอาหาร
มู่น่อนน่อนถอนหายใจอยู่ในใจ ที่แท้เฉินถิงเซียวก็มีช่วงเวลาที่ทำแบบนี้เหมือนกันงั้นเหรอ?
ถ้าเกิดว่าเป็นลี่จิ่วเชียน เขาต้องวางเมนูไว้ตรงหน้าเธออย่างแน่นอน
พอนึกถึงลี่จิ่วเชียน ความคิดของมู่น่อนน่อนก็บินไปไกลยังไม่สามารถควบคุมได้
เขางานยุ่งขนาดนั้น ตอนนี้น่าจะกินข้าวนอกบ้านทุกวัน บางทีเขาอาจจะอยู่ในห้องให้คำปรึกษาของเขาอยู่ก็ได้
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะกำลังหน้าเมนูอยู่ แต่ว่าความสนใจของเขาก็ถูกแบ่งไปให้กับมู่น่อนน่อนด้วย
เหมือนเป็นความเคยชินของจิตใต้สำนึก จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะสนใจเธอ
ตอนที่เขาตั้งสติกลับมาอีกครั้งนั้น ก็เพราะว่าตัวเองกำลังจ้องมู่น่อนน่อนอยู่
โชคดีที่มู่น่อนน่อนกำลังเหม่อลอยอยู่ ก็เลยไม่รู้ว่าเขาก็มองตัวเอง
ช่วงนี้เขาได้ความทรงจำบางอย่างฟื้นคืนมา แต่ว่ามันค่อนข้างที่จะแตกเป็นเสี่ยง บางเรื่องก็เกี่ยวกับแม่ แต่ว่าส่วนมากก็จะเกี่ยวกับมู่น่อนน่อน
แต่ว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เฉินถิงเซียวก็สามารถสัมผัสได้ว่า เมื่อก่อนนี้เขาแคร์เธอมาก
ถึงแม้ว่าสือเย่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่จากคำพูดของเขาแล้ว เฉินถิงเซียวสามารถสัมผัสได้ว่า ผู้หญิงที่ชื่อมู่น่อนน่อนตรงหน้าเขาตอนนี้ สำคัญกับเขามาก
แต่ว่า เขากลับมู่น่อนน่อนสูญเสียความทรงจำไป ส่งผลให้สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ก็คือเฉินมู่เพียงเท่านั้น
ในกระดูกของเฉินถิงเซียวถือว่าเขาเป็นคนที่หวาดระแวง ต่อให้เขายังไม่รื้อฟื้นความทรงจำได้ทั้งหมด แต่ว่าเขาก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างของมู่น่อนน่อน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยเธอไปได้อย่างง่ายดาย
และยิ่งไปกว่านั้น เธอคือแม่ของลูกของเขา
เพราะว่ารู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับหรี่ตาลงตอนที่เธอจะมองเขา
มู่น่อนน่อนเม้มปาก เมื่อกี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่จริงๆ
หรือว่าตาฝาดเหรอ?
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ก็ไม่มีใครพูดอะไร
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่ามีอะไรที่ควรพูด
ส่วนเฉินถิงเซียวปกติก็เป็นคนที่พูดน้อยอยู่แล้ว
บรรยากาศอึดอัด มู่น่อนน่อนก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
แต่ว่า ตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์ออกมานั้น เฉินถิงเซียวที่ไม่ได้มองเธอมาโดยตลอด ก็กลับหันมามองเธอ
สายตาของเขาเงียบสงบ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแต่กลับให้ความรู้สึกกดดัน
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องวางโทรศัพท์ลง
โชคดีที่ผ่านไปไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟ
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกจานเป็นอาหารที่มีรสชาติค่อนข้างจืด
มู่น่อนน่อนถามอย่างลองเชิง “คุณชอบกินอาหารเผ็ดไม่ใช่เหรอ?”
หรือว่าวันนี้เปลี่ยนรสชาติอาหารที่ถูกปากแล้ว?
แต่ว่า วินาทีถัดมา เมื่อพนักงานเอาพริกแยกมาไว้สำหรับจิ้ม ความคิดนี้ก็ถือว่าถูกต้อง
หลังจากนั้นมู่น่อนน่อนก็พบว่า เฉินถิงเซียวสั่งตามรสชาติที่เธอชอบ
การค้นพบนี้ทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่าย
เฉินเจียฉิน เสิ่นชูหานรู้สึกว่าการที่จู่ๆ เฉินถิงเซียวดีขนาดนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องที่น่าจะหลายใจอย่างแน่นอน
ตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ สายตาลึกซึ้ง “อืม”
คำง่ายๆ เพียงคำเดียว แต่ว่ากลับให้ความรู้สึกหยอกล้ออย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวคล้อยตามรสชาติที่ถูกปากของเธอ……
มู่น่อนน่อนนั่งกินอาหารอย่างอึดอัด เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากนั้นก็เฉินถิงเซียว สีหน้าของเขาดูสงบนิ่ง ดูสบายใจกว่ามู่น่อนน่อนมาก
ทางที่ขับกลับนั้นรถไม่ติด การเดินทางไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่นานก็ถึงบ้าน
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปถึงบ้าน เฉินมู่กำลังกอดตุ๊กตาเสือตัวน้อยนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก สายตาจ้องเขม่นไปที่ทีวี
“มู่มู่”มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเรียกเธอ เธอก็แค่ตอบว่า “อืม” ไม่แม้แต่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ แล้วก็มุ่งความสนใจเข้าไปในทีวี