ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 415 ช่องโหว่เต็มไปหมด
รอจนตอนที่เฉินถิงเซียวได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่ห้องทำงาน ก็เป็นเรื่องหลังจากสี่สิบนาทีไปแล้ว
ในระหว่างนั้นเฉินจิ่งหยุ้นได้โทรไปหาเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่รับสาย
พอเฉินถิงเซียวเข้ามา เฉินจิ่งหยุ้นก็เดินเข้าไปตรงหน้าเขาแล้วถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นายไปไหนมา?”
“ประชุม” เฉินถิงเซียวเดินอ้อมเธอไป เดินตรงเข้าไปด้านหลังโต๊ะทำงาน
เฉินจิ่งหยุ้นกลอกสายตาไป พลางเอ่ยถามเป็นเชิงหยั่งเชิงออกไป “เมื่อกี้นายเพียงแค่ไปประชุม?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอ สีหน้ามองไปแล้วก็ดูคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง “มีธุระอะไรก็ว่ามา”
เฉินจิ่งหยุ้นเองก็ไม่ได้เคลือบแคลงใจขึ้นมาเช่นกัน ในความคิดของเธอเฉินถิงเซียวตลอดมานี้ ก็มีท่าทางที่คาดเดาไม่ถูกอย่างนี้เสมอ เธอชินแล้ว
เธอก้าวเท้าเดินเข้าไปตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว “ฉันไม่ได้เจอมู่มู่มาหลายวันมากแล้ว คิดถึงเธอขึ้นมานิดหน่อย วันนี้เลยไปที่บ้านนายมาเที่ยวนึง มีบางอย่างที่อยากให้นายฟังดูสักหน่อย”
พูดไปแล้ว เธอก็หยิบปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า ในขณะเดียวกันที่วางลงไปตรงหน้าเฉินถิงเซียวก็ได้กดเล่นไปด้วย
ในบันทึกเสียงได้มีเสียงรบกวนดังขึ้นมาอยู่สักพักนึงก่อน จากนั้นก็มีเสียงบทสนทนาของผู้หญิงสองคนดังขึ้นมา
“แกอยู่ข้างๆถิงเซียว ไม่ใช่ว่าหวังที่จะเอาอำนาจและเงินของเขาหรือไง? แกต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากเขา?”
“ในเมื่อฉันหวังที่จะได้อำนาจและเงินของเขา แล้วจะออกไปจากเขาเพียงเพราะว่าคุณเอาเงินมาให้แค่ไม่กี่ตังค์ได้ยังไงกันล่ะ? อยู่ข้างๆเขาเป็นแม่ของลูกเขาไปไม่ใช่ว่ามันดูมีอนาคตที่ก้าวไกลกว่าอีกไม่ใช่หรือไง?”
“แต่ว่า คุณคิดจะใช้เงินเท่าไหร่มาทำให้ฉันออกไปจากเฉินถิงเซียว? ถ้าจำนวนมันถูกใจฉัน ฉันจะลองพิจารณาดูสักหน่อยก็ได้”
เสียงของผู้หญิงสองคนนี้ได้แบ่งแยกเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นใคร เฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเฉินถิงเซียวสามารถฟังออกได้
เธอปิดบันทึกเสียงไป พลางถามเสียงเข้มออกไป “ถิงเซียว นายก็ได้ยินแล้ว นี่เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของมู่น่อนน่อน ขอเพียงแค่ฉันจ่ายเงินออกไปสักหน่อย หล่อนก็สามารถออกไปจากนายได้แล้ว ผู้หญิงอย่างนี้ เป็นผู้หญิงแบบที่นายต้องการเหรอ?”
ในความคิดของเฉินจิ่งหยุ้น ผู้ชายคนหนึ่งได้ยินผู้หญิงพูดคำพูดจำพวกนี้ออกมา ภายในใจก็จะเกิดความรู้สึกเกลียดชังกันทั้งนั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียวที่เป็นประธานของบริษัทเฉินซื่อเลย มีอำนาจการตัดสินใจที่สูงที่สุดในบริษัทเฉินซื่อ
ผู้ชายอย่างนี้ จะไปทนไหวได้ยังไง ผู้หญิงของตัวเองเพียงแค่ชอบทรัพย์สมบัติและอำนาจของตัวเองเท่านั้น
เฉินจิ่งหยุ้นคิดคำนวณผลได้ผลเสียทุกอย่างอยู่ในใจเอาไว้เสียดิบดี แต่ว่าเธอก็ลืมไปว่าแต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเธอเลย
เดิมทีแล้วเธอนึกว่าหลังจากที่เฉินถิงเซียวได้ฟังบันทึกเสียงแล้ว จะต้องเกิดความรังเกียจต่อมู่น่อนน่อนขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่เฉินถิงเซียวเพียงแค่ถามออกมาประโยคนึงเท่านั้น “เธอคิดจะจ่ายเงินออกไปเท่าไหร่ เพื่อทำให้มู่น่อนน่อนออกไปจากฉัน?”
มองออกว่าเฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้รู้เรื่องที่มู่น่อนน่อนได้สูญเสียความทรงจำไปแล้วเลย
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ถิงเซียว นายหมายความว่าอะไร?”
บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เฉินจิ่งหยุ้นกลับรู้สึกอันตรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าคำถามนี้เธอตอบไม่ดี ก็คงมีเรื่องที่โหดร้ายยิ่งกว่ารอเธออยู่
เฉินถิงเซียวแสยะริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ตรงระหว่างคิ้วกับดวงตาต่างก็เผยความเยือกเย็นออกมา “ฉันถามเธอก่อน เธอก็ตอบคำถามฉันก่อน”
“ฉันก็แค่หลอกหล่อนดูเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะข่มอามณ์เอาไว้ไม่อยู่ขนาดนี้” เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ก็ได้ปล่อยความหัวหมอออกไปอีก ไม่กล้าตอบคำถามเขาไปตรงๆ
เสียงของเฉินถิงเซียวจู่ๆก็ผ่อนเบาลงหลายส่วน “เธอไม่ชอบมู่น่อนน่อน นี่คือเหตุผลที่เมื่อตอนนั้นที่เกาะเกิดการระเบิดขึ้นมา เธอเลยไม่ได้ให้ทีมค้นหากู้ภัยช่วยเธอ ใช่มั้ย?”
“เมื่อตอนนั้นฉันเพียงแค่กังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนายเท่านั้นเอง เมื่อตอนนั้นนายบาดเจ็บสาหัสมาก นายเป็นน้องชายแท้ๆของฉัน แน่นอนว่าฉันจะต้องสนใจนายก่อนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนนั้นพวกกู้จือหยั่นไม่ใช่ว่าไปช่วยมู่น่อนน่อนกันแล้วหรือไง ตอนนี้หล่อนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
เดิมทีแล้วเฉินจิ่งหยุ้นก็ยังมีความร้อนตัวกลัวความผิดอยู่บ้าง แต่พูดถึงตอนท้ายแล้ว เธอก็ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รู้สึกร้อนตัวกลัวความผิดขึ้นมาเท่านั้น แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากเลย
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนั้นมันเย็นยะเยือกเหมือนกับสีหน้าที่แสดงออกมาของเขาเลย
“แต่เมื่อก่อนหน้านี้เธอก็เคยบอกไม่ใช่หรือไงว่าฉันกับกู้จือหยั่นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ในเมื่อไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว ทำไมเขาถึงต้องไปช่วยมู่น่อนน่อน?”
“มู่น่อนน่อนกับกู้จือหยั่นพวกเขามีความสัมพันธ์กันไง ความสัมพันธ์ของดาราคนนั้นกับมู่น่อนน่อนไม่ใช่ว่าดีมากเลยหรือไง?”
ก้นบึ้งภายในใจของเฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกไม่สงบขึ้นมา แต่ก็อยากจะทำการสู้ครั้งสุดท้ายเผื่อจะโชคดีหลีกเลี่ยงความโชคร้ายไปได้อีกที
“เฉินจิ่งหยุ้น เธอคิดว่าฉันเป็นคนโง่” คำพูดนี้ของเฉินถิงเซียว พูดออกมาเป็นประโยคบอกเล่า
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้ขาวซีดออกมาทันที “ถิงเซียว…”
ทุกๆข้ออ้างและเหตุผลของเธอ มองดูแล้วมันมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด
ในดวงตาของเฉินถิงเซียวเผยความทนไม่ไหวออกมาเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงไปดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันเคยให้โอกาสเธอแล้ว แต่เธอกลับไม่พูดความจริงออกมาเลย ออกไปเสียเถอะ”
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีการตำหนิและความโกรธออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับน้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับลูกน้อง…ไม่สิ น้ำเสียงที่เขาพูดกับสือเย่ก็ยังดีกว่าน้ำเสียงในตอนนี้เสียอีก
เฉินจิ่งหยุ้นอยากจะอธิบายให้กับตัวเองออกไปสักหน่อย แต่พอได้อ้าปากพูดออกไป กลับรู้สึกว่าภายในลำคอเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอุดอยู่ก็ไม่ปาน แม้แต่คำพูดเดียวก็ยังพูดไม่ออกเลย
เธอผันร่างออกไป หลังจากที่ปิดประตูห้องทำงานลง ก็ได้ยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
เบ้าตาแสบขึ้นมา มีน้ำตาไหลออกมา
เธอเป็นคุณหนูใหญ่ผู้หยิ่งทะนงของตระกูลเฉิน เธอเป็นการดำรงอยู่ที่ถูกผู้มีชื่อเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนต้องแหงนมองกัน เธอไม่อาจร้องไห้ออกมาได้…
ภายในห้องทำงานของประธานบริษัท
สายตาของเฉินถิงเซียวจรดมองลงไปที่บนปากกาบันทึกเสียงที่อยู่บนโต๊ะทำงาน
เมื่อกี้เฉินจิ่งหยุ้นเดินออกไปด้วยความรีบเร่ง จึงไม่ได้เอาปากกาบันทึกเสียงด้ามนี้ไปด้วย
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปหยิบมา แล้วฟังบันทึกเสียงที่อยู่ข้างในไปอีกครั้งนึง
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เขายิ้มเย็นออกมา แล้ววางบันทึกเสียงลงไปข้างๆ
……
เรื่องที่เฉินจิ่งหยุ้นมาหากันถึงบ้าน ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้กับมู่น่อนน่อนเลย
เฉินจิ่งหยุ้นเกลียดเธอขนาดนั้น แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่าทำไมเฉินจิ่งหยุ้นถึงได้เกลียดเธอ
ในช่วงเวลาแบบนี้ การสูญเสียความทรงจำสำหรับเธอแล้ว เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลยเหมือนกัน
เธอไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร เฉินมู่ขับรถของเล่นของเธอมาที่ห้องครัว
ช่วงนี้เฉินมู่ได้เปลี่ยนมาติดเธอเป็นพิเศษ
เธอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงหันหน้ามองไปทางเฉินมู่ “หนูเข้ามาได้ยังไง?”
เฉินมู่นั่งอยู่ในรถของเล่น กะพริบตาปริบๆพลางเอ่ยออกมา “หนูอยากช่วยคุณแม่”
“ได้เลย”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ได้หยิบม้านั่งเล็กๆมาวางที่ตรงหน้าของอ่างน้ำเล็กๆ หยิบผักกวางตุ้งกับมะเขือเทศมา แล้วให้เธอล้างอยู่ที่ตรงนั้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนทำอาหาร เฉินมู่ก็ได้มองอยู่ที่ข้างๆ
เธอเห็นมู่น่อนน่อนใส่อะไรลงไปในหม้อ ก็ได้พูดออกมาว่าอยากกินอันนั้น มองดูแล้วดูตะกละตะกลามมากเลย
เป็นเจ้าตัวตะกละน้อย
ตอนที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ เธอหยิบชามของเฉินมู่ออกมา ให้เฉินมู่ยกไปที่ห้องรับประทานอาหารด้วยตัวเอง
เฉินมู่ทำตามคำพูดของเธอไปด้วยท่าทีที่มีความสุข หลังจากที่วางชามลงไปบนโต๊ะอาหารแล้ว ยังมองเธอไปด้วยใบหน้าที่แสดงท่าทีร้องขอรางวัลออกมาอีกด้วย “หนูวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
มู่น่อนน่อนคีบปีกไก่ไปให้เธอชิ้นหนึ่ง “รางวัลเป็นปีกไก่ทอดชิ้นหนึ่ง”
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา สิ่งที่เห็นก็คือภาพเหตุการณ์อย่างนี้
เฉินมู่ยกชามเล็กๆของตัวเองมา กัดแทะปีกไก่ไปจนน้ำมันเต็มปากไปหมด มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเฉินมู่สามร้อยหกสิบองศาต่อเนื่องไม่หยุดอยู่ที่ข้างๆ
เฉินถิงเซียวเอาเสื้อสูทตัวนอกที่อยู่มือส่งไปให้คนใช้ แล้วเดินตรงเข้าไป
หางตาของเฉินมู่เหลือบเห็นเฉินถิงเซียวแล้ว ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างไม่จริงจังนัก “คุณพ่อ”
“อืม”
เฉินถิงเซียวตอบรับออกไปคำนึง แล้วก็หันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าสายตาที่เฉินถิงเซียวมองเธอนั้นมันแปลกๆไปเล็กน้อย