ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 422 เรื่องนี้ คุณต้องเก็บเป็นความลับ
ลี่จิ่วเชียนถามเธอ “นั่งเถอะ ดื่มอะไรสักหน่อยมั้ย?”
“อะไรก็ไม่ต้องหรอก พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าโทนเสียงของตัวเองมันรีบร้อนเกินไป จึงเอ่ยเสริมออกไปว่า “มู่มู่ยังนอนกลางวันอยู่ที่บ้าน ฉันต้องรีบกลับไปเร็วหน่อย”
“อืม” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจออกมา
เขานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามมู่น่อนน่อน สีหน้าแสดงความจริงจังออกมาเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆถึงได้ถามเรื่องการสะกดจิตขึ้นมาได้ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนลังเลไปแป๊บนึง
ลี่จิ่วเชียนมองเห็นความลังเลของเธอ เขาแสยะริมฝีปากออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา “เอาเถอะ คุณอยากถามอะไรก็ถามมาก็พอ”
“การสะกดจิตมันสามารถปิดล็อกความทรงจำของคนได้เหรอ?”
“ตัวการสะกดจิตนั้นก็เป็นวิธีที่จะทำการชักนำทางจิตวิทยาให้กับผู้ป่วยที่มีอาการบ่งพร่องทางจิตอย่างหนึ่ง จะทำการสะกดจิตไปตามความต้องการของผู้ป่วย ก็คือปรากฏการณ์ ideomotorจำพวกหนึ่งด้วยเช่นกัน”
ลี่จิ่วเชียนพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย
เห็นมู่น่อนน่อนฟังเสียดูตั้งอกตั้งใจ เขาจึงพูดต่อออกมา “จะให้เจาะจงโดยละเอียดว่าเป็นปรากฏการณ์ ideomotorอะไรผมก็ไม่รู้ชัด แต่จิตใจของคนมันซับซ้อนมากและยากที่จะควบคุมด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วจึงไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะปิดล็อกความทรงจำของคนอื่นอย่างที่คุณว่ามาไปได้”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน มันเท่ากับว่าเป็นการยืนยันในอานุภาพของการสะกดจิตได้เลย
มู่น่อนน่อนถามออกไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ถ้าหากว่าปิดล็อกความทรงจำของคนอื่นไป จะสามารถทำให้คนนั้นฟื้นความทรงจำกลับมาได้อีกหรือเปล่า? หรือไม่ก็ ทำให้ความทรงจำของคนนั้นเกิดอาการแย่ลง ยุ่งเหยิงไปหมดหรือเปล่า?”
ในทันใดนั้นลี่จิ่วเชียนก็ได้ยิ้มออกมา สายตาจรดลงไปที่หน้าของเธอนิ่ง พลางสบตากับเธอ “ทุกอย่างมันก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ก็เหมือนกับคุณที่หลังจากสลบไปสามปี แต่กลับฟื้นขึ้นมาอย่างกับปาฏิหาริย์”
มู่น่อนน่อนพูดออกไป “ความหมายของคุณคือมีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นความทรงจำกลับมาเอง?”
“พูดอย่างนี้กับคุณดีกว่า” ลี่จิ่วเชียนครุ่นคิดไปแป๊บนึงแล้วเอ่ยออกมาว่า “การสะกดจิตอันที่จริงก็ไม่ได้สุดยอดอย่างที่คนอื่นเขาว่าขนาดนั้นหรอก เพราะถึงยังไงก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ ideomotorอย่างหนึ่ง คนที่ถูกสะกดจิตถ้าตัวเองไปล้มล้างการทำปรากฏการณ์ ideomotorต่อตัวเองแล้ว อย่างนั้นแล้วการสะกดจิตก็คงจะเริ่มไม่เกิดผลไป”
“ก็เหมือนกับการปิดล็อกความทรงจำที่คุณว่ามาเมื่อกี้ คนที่ถูกสะกดจิตจำพวกนี้ จะถูกคุณหมอสะกดจิตทำปรากฏการณ์ ideomotorให้เขาไปซ้ำๆ บอกเขาเรื่องที่เขาควรจะต้องลืมพวกนั้น แต่ถ้าข้างๆมีคนพูดถึงเรื่องที่เขาลืมพวกนั้นขึ้นมาซ้ำๆ หรือไม่ก็มีคนและเรื่องที่สามารถกระตุ้นเขาขึ้นมาได้ การฟื้นคืนความทรงจำมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วแล้ว”
“งั้นนอกจากการฟื้นความทรงจำกลับมา ยังมีอาการอื่นอีกหรือเปล่า?” คำพูดที่ลี่จิ่วเชียนพูดออกมาเธอเข้าใจ แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้ไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมา แต่เป็นอาการอีกอย่างนึงแทน
“ความทรงจำเกิดแย่ลงและยุ่งเหยิงไป ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น” ลี่จิ่วเชียนพิงเข้ากับข้างหลังไปเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนท่าให้สบายมากขึ้น “ก็เหมือนกับคุณฟื้นขึ้นมา แต่กลับเหมือนกับสูญเสียความทรงจำไป เรื่องอะไรก็ตาม ต่างก็มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนทั้งนั้น แต่ถ้าความทรงจำของคนที่ถูกสะกดจิตแย่ลง นั่นก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะว่าขั้นตอนการสะกดจิตล้ำลึกมาก แล้วก็ฟื้นความทรงจำกลับมาอย่างรวดเร็วอีก ดังนั้นแล้วทำอะไรที่มากไปหรือน้อยไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้น มันก็เลยจะทำให้เกิดความทรงจำที่ยุ่งเหยิงขึ้นมา”
สิ่งเหล่านี้ที่ลี่จิ่วเชียนพูดออกมา ถือได้ว่าตรงกับอาการของเฉินถิงเซียวสุดๆไปเลย
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็ขมวดคิ้วถามออกไป “งั้นถ้าความทรงจำยุ่งเหยิงแล้ว ควรจะต้องทำยังไง?”
“ผมไม่ใช่หมอสะกดจิต คำถามนี้ ผมจนปัญญาที่จะตอบคุณได้ บางทีคุณอาจจะควรหาคุณหมอที่สะกดจิตให้เขาคนนั้นให้เจอ ถึงจะมีวิธีแก้ไขปัญหาได้”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน ได้สื่อออกมาชัดเจนมากแล้ว
มู่น่อนน่อนจึงค้นพบขึ้นมาว่า เมื่อกี้ตัวเองรีบร้อนที่จะถามเรื่องสะกดจิตออกไปให้ชัดเจน แต่กลับทำให้ลี่จิ่วเชียนคาดเดาอะไรขึ้นมาได้
สบเข้ากับสายตารู้แจ้งของลี่จิ่วเชียนเข้า เธอมีความรู้สึกไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนถามออกไปอย่างสงบเยือกเย็น “เป็นเฉินถิงเซียวเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนอธิบายให้กับเธออย่างตั้งอกตั้งใจมาตั้งมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าเธอจะต้องไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังอยู่แล้ว “อืม”
พูดจบ เธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก จึงได้เอ่ยพูดกับลี่จิ่วเชียนออกไป “เรื่องนี้ คุณต้องเก็บเป็นความลับ จะบอกคนอื่นไม่ได้นะ”
“คุณยังไม่เชื่อใจผมอีกเหรอ?” ลี่จิ่วเชียนเอียงหัว เอ่ยออกมาพร้อมแสร้งทำเป็นผิดหวังออกมา
ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกโล่งอกขึ้นมา แล้วเอ่ยออกมากึ่งๆจริงจัง “มิตรภาพที่เหนียวแน่น แน่นอนว่าเชื่อใจคุณมากที่สุดแล้ว จริงสิ คุณมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่รู้จักบ้างมั้ย? แบบคนที่สามารถสะกดจิตคนอื่นจนสูญเสียความทรงจำไปได้จำพวกนั้น”
“ใช่เฉินถิงเซียวจริงๆ?” บนใบหน้าลี่จิ่วเชียนเผยความประหลาดใจออกมา “ชีวิตของคุณกับเฉินถิงเซียวช่างมีสีสันมากเลยจริงๆ”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่จนใจ “นี่คุณกำลังพูดแดกดันกันอยู่เหรอ?”
“แน่นอนว่าเปล่า” ลี่จิ่วเชียนแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “เรื่องผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิต ผมจะช่วยจับตาดูให้คุณสักหน่อย ถึงแม้ว่าการสะกดจิตกับจิตวิทยานับว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ขอบเขตเดียวกัน จะให้ผมพูดออกมาเลย ผมก็พูดไม่ออกหรอก”
“รบกวนคุณแล้ว” ภายในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกขอโทษขอโพยขึ้นมาเล็กน้อย
เธอเหมือนกับว่ากำลังรบกวนคนอื่นอยู่เสมอ
ลี่จิ่วเชียนได้ยิ้มออกมา “เรื่องเล็กน้อย”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก เพียงแค่ยิ้มกลับไป
คำที่แสดงถึงความรู้สึกขอบคุณเพิ่มมากขึ้น มันก็ไม่ดีเท่าวันใดวันหนึ่งที่สามารถตอบแทนกลับไปได้อย่างมีประโยชน์จริงๆ
……
มู่น่อนน่อนออกไปจากคลินิกของลี่จิ่วเชียน แล้วโบกรถกลับไปที่บ้านเสิ่นเหลียง
เธอเพิ่งจะขึ้นรถได้ไม่นาน ก็ได้รับสายจากเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงถามเธอ “เธอกลับมาหรือยัง? มู่มู่ตื่นแล้ว บอกว่าอยากจะกินเค้กอะไรนั่น เธอจะพูดกับเธอเอง”
มู่น่อนน่อนได้ยิน จึงเอ่ยออกไปพลางหลุดยิ้มออกมา “อยู่ระหว่างทางกลับ เธอเอาโทรศัพท์ให้มู่มู่”
“คุณแม่” เฉินมู่เพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน เสียงอ้อแอ้ออกมา อ่อนนุ่มเสียเหมือนกับเค้กหวานๆที่เพิ่งออกมาจากเตาใหม่ๆ
“มู่มู่อยากกินเค้กที่คุณพ่อซื้อให้หนูครั้งที่แล้วใช่มั้ย? อีกเดี๋ยวแม่จะกลับไป แล้วซื้อเค้กกลับไปให้หนู”
เมื่อก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยซื้อเค้กก้อนเล็กๆให้เฉินมู่มาก่อน ดูสวยงาม และหวานมาก รสชาติเหมาะกับเด็กน้อย
ปกติเฉินมู่จะชอบกินเค้ก มู่น่อนน่อนกลัวว่าเธอจะฟันผุ จึงให้เธอกินน้อยมาก
วางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนได้ให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ
ห้างไม่ได้ใหญ่มาก มองไปแล้วดูเหมือนจะเป็นห้างที่สร้างใหม่ คนก็ไม่ได้เยอะมากเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนหาจุดขนมปังอยู่ชั้นสอง แล้วก็เจอเค้กก้อนเล็กๆแบบที่เฉินมู่ชอบกิน
บนใบหน้าเธอเผยความยินดีออกมา แล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยออกไปกับพนักงานขายว่า “รบกวนช่วยห่อเค้กก้อนนี้ให้ฉันด้วยค่ะ”
แต่ทว่า พนักงานขายราวกับว่าจะไม่ได้เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ฝืนยิ้มมาให้เธอเล็กน้อย แล้วช่วยห่อเค้กก้อนเล็กๆให้มู่น่อนน่อนไปอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วยื่นให้เธอไป
มู่น่อนน่อนหยิบเงินไปพลาง ถามออกไปพลาง “เท่าไหร่คะ?”
พนักงานขายเหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอก็ไม่ปาน จึงหันหน้ากลับมามองเธอ “ห้ะ?”
เธอสังเกตเห็นเค้กในมือมู่น่อนน่อน จึงเอ่ยออกไป “ไม่เอาเงิน ให้คุณไปเลย รีบไปสิ”
ไม่เก็บเงิน?
มู่น่อนน่อนคิดว่าพนักงานขายคนนี้ดูแปลกไปหมดเลย ถึงขนาดที่มองไปแล้วก็ดูไม่เหมือนพนักงานขายเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย แล้วเอาเงินร้อยหยวนใบหนึ่งยื่นไปที่บนเคาน์เตอร์ “รบกวนช่วยทอนเงินด้วยค่ะ”
พนักงานขายมีสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังก้มลงไปในลิ้นชักเพื่อทอนเงินให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับมานับดู จึงพบว่าพนักงานขายให้เธอมาหกสิบหยวน
เธอหยิบแบงก์สิบหยวนออกมาใบหนึ่งแล้วยื่นไปให้พนักงานขาย “เค้กสี่สิบห้า คุณทอนให้ฉันห้าหยวนก็พอแล้ว”