ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 432 คิดเพ้อฝันไปเอง
ร่างนุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในแขนของเขา และเฉินถิงเซียวก็เอื้อมมือไปอุ้มเฉินมู่ไว้ทันที
เฉินมู่เอาแขนโอบรอบคอของเฉินถิงเซียวไว้ ดวงตาของเธอเป็นประกาย
เธอชี้นิ้วไปทางห้องครัว “คุณพ่อคะ กินข้าวกันค่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวจะมาที่บ้านของเสิ่นเหลียงเพื่อมาหาเธอ แต่เธอรู้ว่าการที่เฉินถิงเซียวมาที่นี่ ต้องมีจุดประสงค์ของเขาแน่ๆ
เฉินมู่ดูมีความสุขมาก ถึงแม้จะมีเรื่องอะไรจริงๆ มู่น่อนน่อนก็จะไม่ถามเฉินถิงเซียวในตอนนี้
เธอกำลังจะพูด เสิ่นเหลียงที่ได้ยินเสียงก็พูดตัดหน้าเธอไปซะก่อน “สะ สวัสดีค่ะบอสใหญ่…ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
หลังจากเจอกันที่โรงแรมจีนติ่งครั้งที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเหลียงได้เจอกับเฉินถิงเซียว
ในระหว่างช่วงเวลานี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย พอได้เจอกับเฉินถิงเซียวอีกครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่ประหลาดใจ
“ยืนตรงนี้กันทำไมคะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” เสิ่นเหลียงยืนอยู่ข้างมู่น่อนน่อน พอพูดจบ เธอก็ผลักมู่น่อนน่อนเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวเล็กน้อย “เข้ามาสิคะ”
สือเย่กระซิบข้างหูเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ เข้าไปข้างในสิครับ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ก้าวเดินเข้าไป
พอเขาเข้ามา เฉินมู่ก็พยายามจะไถลลงจากตัวเขา แล้วจูงมือเขาเดินไปที่โต๊ะอาหาร
พอเดินมาถึงตรงหน้าโต๊ะอาหาร เธอยังช่วยเฉินถิงเซียวดึงเก้าอี้ออกมาด้วย
“คุณพ่อนั่งค่ะ กินข้าวกัน”
แต่ว่า เก้าอี้ทั้งใหญ่และหนักมาก เฉินมู่พยายามดึงสุดแรง แต่ก็ดึงเก้าอี้ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง แล้วมองดูใบหน้าเล็กๆ ของเฉินมู่ที่แดงก่ำเพราะใช้แรงเยอะ มุมปากของเม้มแน่น ท่าทางตั้งอกตั้งใจอย่างหนัก
สือเย่เคยบอกไว้ว่าลูกสาวของเขาน่ารักมาก
แต่เขาคิดว่า คำว่า “น่ารัก” เป็นความรู้สึกของตัวเองมากกว่า
ในเวลานี้ เขาก็มีความรู้สึก ว่าเด็กน้อยคนนี้น่ารักมาก
เขาขยับมือ ตั้งใจจะช่วยเฉินมู่ แต่พอเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจของเธอ กลับหยุดนิ่งไป
มู่น่อนน่อนนั้นตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา เธอก็คอยจับตามองเขาตลอด จึงเห็นการกระทําของเขาทั้งหมดโดยไม่มีเล็ดลอดจากสายตา
ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงชอบเห็นคนอื่นลำบากขนาดนั้นนะ?
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วดึงมือเฉินมู่ขึ้นมา “มู่มู่ ไม่เป็นไรจ้ะ คุณพ่อนั่งเองได้”
เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเธอดูงุนงงเล็กน้อย เธอปัดหน้าม้า แล้วตบตรงเก้าอี้ ดึงมือเฉินถิงเซียว ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
เฉินถิงเซียวจึงนั่งลงไป
เสิ่นเหลียงกลัวเฉินถิงเซียวมาโดยตลอดอยู่แล้ว
หลังจากที่เธอรอให้เฉินถิงเซียวนั่งลง เธอก็เลือกตำแหน่งที่ห่างจากเฉินถิงเซียวที่สุดแล้วนั่งลง
โต๊ะอาหารไม่ได้ใหญ่มาก หลังจากที่สือเย่กับเสิ่นเหลียงนั่งลง ที่นั่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ข้างๆ เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างเฉินถิงเซียวโดยให้เฉินมู่นั่งตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
เด็กน้อยยังไม่เข้าใจเรื่องเวลาที่ชัดเจน แต่เพราะไม่เจอเฉินถิงเซียวมาสองวัน มันจึงเป็นเวลาที่นานมากสำหรับเฉินมู่แล้ว
เด็กน้อยแสดงความดีใจออกมาอย่างตรงไปตรงมา
มู่น่อนน่อนคีบอาหารให้เธอ เธอก็ใช้ตะเกียบที่มีเมล็ดข้าวติดอยู่คีบกับข้าวในชามของตัวเอง แล้ววางลงในชามของเฉินถิงเซียว ก่อนจะยิ้มอย่างน่ารัก “คุณพ่อกินนี่สิคะ”
เฉินถิงเซียวมีนิสัยรักสะอาดเล็กน้อย
ถึงแม้ตอนที่เขาอยู่กับมู่น่อนน่อน เขาจะไม่ค่อยแสดงออกชัดเจนมาก แต่ก็สังเกตได้ไม่ยาก
เฉินถิงเซียวมองไปที่ชิ้นเนื้อที่มีเมล็ดข้าวติดอยู่ แล้วมองที่เฉินมู่ที่มีสีหน้าตั้งตารอ คิ้วของเขาขมวดขึ้นเป็นปม
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกกังวลใจ ในขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอก็ต้องแปลกใจที่เห็นเฉินถิงเซียวเอาเมล็ดข้าวบนชิ้นเนื้อออก แล้วคีบเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากไป
แต่ว่า ตอนที่เขาเคี้ยว ท่าทางของเขาดูแข็งทื่อมาก
มู่น่อนน่อนอยากจะหัวเราะเล็กน้อย แต่การที่เฉินถิงเซียวยอมที่จะให้ความร่วมมือกับเฉินมู่มันก็ดีมากแล้ว ถ้าเธอกล้าที่จะหัวเราะออกมา เฉินถิงเซียวคงโกรธและไม่ยอมให้ความร่วมมืออีกแน่นอน
พอเห็นเฉินถิงเซียวกินชิ้นเนื้อเข้าไปแล้ว เฉินมู่ก็ก้มหน้ากินข้าวย่างอย่างมีความสุข
มู่น่อนน่อนทำกับข้าวแค่สามอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง โชคดีที่ตอนเธอหุงข้าว เธอตั้งใจจะทำข้าวผัดพรุ่งนี้เช้า เธอจึงหุงข้าวเยอะเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยกินแต่บะหมี่ที่มู่น่อนน่อนทำ แต่ตอนนี้หลังจากกินอาหารที่เธอทำ ถึงได้รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของเธอถูกปากเขาจริงๆ
สามอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง ถูกกินจนหมด และเหลือทิ้งไว้แต่จานเปล่า
หลังจากกินข้าวเสร็จ เสิ่นเหลียงกับสือเย่ก็รับหน้าที่ทำความสะอาดอย่างรู้หน้าที่
ในห้องอาหารจึงเหลือแค่ครอบครัวของเฉินถิงเซียวทั้งสามคน
เฉินถิงเซียวนั่งนิ่งบนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสงบ กลับมาเป็นคุณชายตระกูลเฉินผู้สูงศักดิ์เช่นเคย
มู่น่อนน่อนช่วยเฉินมู่เช็ดปาก
หลังจากนั้นเฉินมู่ก็ไถลลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปเล่นทันที
ที่โต๊ะอาหาร เหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนถามขึ้นมาก่อน “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาที่นี่คะ?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งของเฉินถิงเซียว ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “มารับเฉินมู่”
“รับมู่มู่?” มู่น่อนน่อนรีบหันไปมองเฉินถิงเซียว น้ำเสียงของเธออดที่จะพูดประชดเล็กน้อยไม่ได้ “คุณมารับเธอกลับไปทำไมคะ ใส่อารมณ์ให้เธอเห็น หรือทำลายข้าวของให้เธอตกใจกลัว?”
เฉินถิงเซียวพูดเสียงเรียบ “มู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นกว่าเมื่อตะกี้ ผสมไปด้วยอารมณ์โกรธเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวยังพูดไม่จบ เธอรอให้เฉินถิงเซียวพูดจบก่อน
ผลลัพธ์คือ เฉินถิงเซียวพูดออกมาเสียงเรียบว่า“ด้วยท่าทีแบบนี้ของคุณ คุณยังคิดจะแต่งงานกับผมใหม่? ”
มู่น่อนน่อน “…”
ที่จริงแล้วเธอไม่เข้าใจจริงๆ ในสมองของเฉินถิงเซียวถูกเติมอะไรเข้าไปบ้าง
แต่พอมาคิดดูอีกครั้ง ความทรงจำของเฉินถิงเซียวเหลือเพียงช่วงวัยยี่สิบต้นๆ นั่นหมายความว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเธอเลย
สือเย่อาจจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ให้กับเฉินถิงเซียวฟังแล้ว
ตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ในสถานะหย่าร้างกันแล้ว และตอนนี้เธอกลับเสนอตัวมาก เฉินถิงเซียวจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก
พอคิดในอีกมุมหนึ่ง คำพูดของเฉินถิงเซียวก็ถูกแล้ว
เธออยากจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียวใหม่
อยากช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำกลับมาได้ และกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง
พวกเขาผ่านอุปสรรคอะไรมามากมาย ก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง
พอมู่น่อนน่อนคิดได้แบบนี้ เธอจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น “ใช่คะ ฉันแค่อยากจะแต่งงานกับคุณอีกครั้ง แม้แต่ในความฝันก็ยังคาดหวังไว้แบบนั้น”
เมื่อวานเธอฟื้นความจำขึ้นมากะทันหัน ตอนที่ต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ ในใจของเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กน้อย
พอได้เห็นผู้ชายที่ควรจะเป็นคู่รักที่รักใคร่กัน กลับมองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ในใจของเธอรู้สึกทรมานมาก
แต่ว่า ความรักไม่สามารถใช้ความเป็นธรรมและความอยุติธรรมมาวัดได้
ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมา “คิดเพ้อฝันไปเอง”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สักพักก็กลับมาเรียบนิ่งตามเดิม
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากขึ้น แล้วส่งยิ้มให้เขา “ถ้าคนเราไม่คิดเพ้อฝัน แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรคะ”
เฉินถิงเซียวจ้องหน้าเธอเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “สือเย่ กลับ”
หลังประตูห้องครัว สือเย่กับเสิ่นเหลียงกำลังแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่ เขาก็รีบกระโดดออกมาทันที
เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วรีบพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “คุณหญิงน้อยครับ ผมขอตัวกลับแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเย็นครับ”