ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 446 ถูกฐานะของเธอดึงดูด
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว และเรียกชื่อเธอ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนพูดขัดขึ้นมา เธอสบตาเขา และพูดอย่างจริงจังว่า “เฉินถิงเซียว ฉันรู้จักคุณดีกว่าที่คุณคิดไว้”
“ตอนนี้คุณรู้สึกกับฉัน หรือกับมู่มู่แล้ว ยังไม่มีความผูกพัน คุณกำลังพยายามยอมรับพวกเรา แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่าเพิ่งใจร้อน ค่อยๆ เดินเข้าหาพวกเราทีละก้าวนะคะ”
เฉินถิงเซียวเองก็กำลังพยายามเช่นกัน เขาพยายามที่จะยอมรับเธอกับเฉินมู่
แต่เห็นได้ชัด ว่าผลลัพธ์มันไม่ค่อยดีนัก
นี้อาจเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียว
ในช่วงวัยรุ่นของเขา เพราะแม่ของเขา ทำให้โลกของเขามืดมนลงไป
มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
จะเดินเข้าไปในหัวใจของเขา มันไม่ง่ายเลย
และเขาเป็นคนที่ชอบควบคุมเรื่องทุกอย่างไว้ในอุ้งมือ
จากนั้น ความทรงจำของเขาดูวุ่นวาย ความทรงจำของเขากลับไปอยู่ในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ
ในตอนนั้นเขายังไม่รู้จักมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่
เขาอาจจะยอมรับตัวตนของเขาในฐานะประธานของบริษัทเฉินซื่อ ยอมรับความจริงของคดีลักพาตัวแม่ของเขา แต่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง
เพราะพวกเธอสองคน คนหนึ่งเป็นภรรยาของเขา อีกคนเป็นลูกสาวของเขา ล้วนแต่เป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุด
อ้อ จะให้พูดให้เจาะจงกว่านี้ ตอนนี้เธอก็เป็นแค่อดีตภรรยาของเขาเท่านั้นเอง
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่กับพวกเธอ จริง ๆ แล้วเขาก็รู้จะทำตัวยังไง นี่คือสิ่งที่ มู่น่อนน่อนรู้สึกได้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าคำพูดของเธอ เฉินถิงเซียวจะฟังหรือเปล่า
เขามองไปทางมู่น่อนน่อนสักพัก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ตามใจคุณ”
พอพูดเสร็จเขาก็หันหลังเดินออกไป
……
หลังจากที่เฉินมู่ตื่น มู่น่อนน่อนก็พาเธอกลับไปด้วยทันที
พอเฉินมู่กลับถึงบ้านก็รู้สึกดีขึ้นมาก มู่น่อนน่อนทำอาหารให้กิน แล้วก็เกลี้ยกล่อมให้เฉินมู่เข้านอน
และอาจเป็นเพราะกำลังป่วย เฉินมู่จึงติดคนมากเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนกล่อมเธออยู่สักพัก แต่พอเธอกำลังจะเดินออกไป เฉินมู่ก็จะคว้ามือเธอไว้ “คุณแม่อย่าไปไหนนะคะ”
“ได้จ้ะ แม่ไม่ไป คืนนี้แม่จะนอนกับเธอ” มู่น่อนน่อนต้องเอนกายลงบนเตียงเพื่อกล่อมเธออีกครั้ง
เฉินมู่ดวงตาเป็นประกายอย่างดีใจ “ค่ะ”
เฉินมู่เพิ่งผล็อยหลับไป โทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนรีบปิดเสียง แล้วค่อยๆ เปิดประตูย่องออกไปจากห้อง
คนที่โทรมาคือฉินสุ่ยซาน
ตอนกลางวันเพิ่งเจอกันไป แต่โทรกลับมาเร็วขนาดนี้ มีอะไรสำคัญอะไรหรือเปล่า?
ทันทีที่กดรับสาย เสียงของฉินสุ่ยซานก็ดังเข้ามาตามสาย “คืนพรุ่งนี้มีงานเลี้ยง เราไปร่วมงานกัน”
“งานเลี้ยงอะไร”
เธอไม่พูดเริ่มต้นและสรุปท้าย มู่น่อนน่อนยังไม่รู้เลยว่างานเลี้ยงอะไร
“เป็นงานเลี้ยงประกาศรางวัลเล็กๆ มีคนในวงการไปร่วมงานเยอะพอตัว แล้วยังมียังมีนักลงทุนอยู่ด้วย ยังไงต่อไปเธอก็ต้องอยู่ในวงการนี้ ไปทำความคุ้นเคยกับฉันไว้ก่อน”
มู่น่อนน่อนรู้ดี ว่าฉินสุ่ยซานกำลังพาเธอไปเพื่อดึงดูดนักลงทุน
ที่จริงแล้วไปแสดงตัวสักนิดก็เป็นเรื่องดี
เหมือนกับที่ฉินสุ่ยซานพูดไว้ ต่อไปนี้เธอต้องทำมาหากินอยู่ในวงการนี้ ต้องมีเส้นสายไว้บ้าง จึงต้องทำความรู้จักกับคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา แล้วเธอต้องสร้างพรสวรรค์ในแวดวงให้มากขึ้น
มู่น่อนน่อนเห็นด้วย “ได้สิ แล้วไปกี่โมง”
หลังจากวางสายแล้ว มู่น่อนน่อนถึงนึกขึ้นได้ว่ามีเฉินมู่อยู่ด้วย
ถ้าเธอไปงานเลี้ยง แล้วเฉินมู่จะทำยังไง?
จะฝากคนอื่นดูแลเฉินมู่ เธอก็ไม่ไว้ใจ
เสิ่นเหลียงเองก็คงไปเข้าร่วมงานในคืนพรุ่งนี้ด้วย
สุดท้ายก็คงต้องพึ่งเฉินถิงเซียวแล้วล่ะ
เป็นไปไม่ได้ว่าเพื่อเฉินมู่แล้ว เธอจะไม่ไปร่วมงาน
งานประกาศรางวัลแบบนี้ จะต้องมีนักข่าวแน่นอน อย่าว่าแต่เธอที่ไม่คิดจะพาเฉินมู่ไปด้วย ถ้าเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่มีทางยอมให้พาเฉินมู่ไปด้วยแน่นอน
ดูเหมือนว่าถ้าถึงเวลานั้น คงต้องส่งไปที่บ้านของเฉินถิงเซียวเท่านั้น
……
เวลาเริ่มงานเลี้ยงมอบรางวัลคือสามทุ่มตรง
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ไปส่งที่บ้านของเฉินถิงเซียวล่วงหน้า แล้วไปทำผมเล็กน้อย ก่อนจะไปที่สถานที่จัดงานเลย
ฉินสุ่ยซานยืนรอเธออยู่ที่ประตูหน้างาน
พอเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา “ที่เขาพูดกันว่าสวยอย่างเป็นธรรมชาตินี่คงเป็นแบบเธอสินะ ขนาดไม่แต่งหน้ายังสวย พูดตามตรงนะ เธอไม่ลองพิจารณาไปเป็นนักแสดงบ้างเหรอ?”
วันนี้มู่น่อนน่อนใส่ชุดราตรีสีขาว ปกปิดรูปร่างมาก ไม่เผยไหล่หรือหน้าอกออกมาให้ใครเห็น เป็นชุดที่สไตล์การออกแบบธรรมดามาก
เธอทำผมเล็กน้อย และแต่งหน้าแบบเรียบง่าย
“ถ้าฉันเข้าสู่วงการบันเทิง ใครจะเป็นคนเขียน เมืองพังภาค2 ล่ะ?” มู่น่อนน่อนพูดหยอกล้อฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานยกยิ้มแล้วตบไหล่เธอเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะจับมือเธอแล้วเดินเข้าไปข้างในงาน
ภายในงานมีผู้คนเริ่มทยอยมากันเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งมักจะเห็นอยู่บนจอทีวีบ่อยๆ ส่วนบางคนก็เป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งได้เจอ
ส่วนใหญ่จะเป็นคนในวงการ แต่บางส่วนก็เป็นนักลงทุน
ฉินสุ่ยซานมีเส้นสาย และคนรู้จักจำนวนมาก
ทันทีที่เธอเดินเข้ามา ผู้คนต่างพากันกล่าวทักทายเธอ
“คุณฉินก็มางานนี้ด้วยเหรอครับ ไม่ได้เจอกันนาน สวยขึ้นกว่าเดิมอีกแล้วนะครับ!”
“ขอบคุณค่ะ…”
ฉินสุ่ยซานตอบกลับอย่างมีมารยาท
พอเห็นมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขาก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “คุณฉินก็พานักแสดงใหม่ในสังกัดมาด้วยเหรอครับ นี่คุณคิดจะปั้นนักแสดงใหม่ขึ้นมาเองเลยหรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนหน้าตาโดดเด่น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะพากันมองเธออย่างสนใจ จึงไม่แปลกที่ใครจะมีคนพูดอย่างนั้น
ฉินสุ่ยซานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วพูดว่า “คุณอย่าพูดเลยค่ะ ฉันจะมีเงินและเรี่ยวแรงมาฝึกฝนเด็กใหม่ที่ไหนกัน คนคนนี้คือมู่น่อนน่อน ผู้เขียนบทเรื่อง “เมืองพัง”ค่ะ”
พอผู้ชายคนนั้นได้ยิน ก็มีแววประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง”เหรอครับ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ ดิฉันมู่น่อนน่อน เป็นคนเขียนบทเรื่อง “เมืองพัง” ค่ะ”
“สวัสดีครับ…” ผู้ชายคนนั้นยื่นมือไปทางมู่น่อนน่อน “ไม่คิดว่าคนเขียนบท “เมืองพัง”จะยังสาวและสวยขนาดนี้เลยนะครับ”
ฉินสุ่ยซานกับเธอคุยกับคนคนนั้นอีกเล็กน้อย แล้วก็พากันไปทักทายคนอื่นในงานต่อ
ไม่นาน ข่าวที่ว่านักเขียนบท “เมืองพัง” ก็มาร่วมงานด้วย ก็ถูกแพร่กระจายข่าวไปทั่วงาน
หลังจากนั้นก็มีผู้คนเดินเข้ามาหาฉินสุ่ยซานไม่ขาดสาย โดยถือโอกาสมาดูมู่น่อนน่อนตรงๆ
มู่น่อนน่อนรู้ดีอยู่ในใจ ว่าคนพวกนี้นอกจากจะสนใจเธอเพราะเธอเป็นคนเขียนบทเรื่อง “เมืองพัง” แล้ว ยิ่งอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เธอเป็น “อดีตภรรยา” ของเฉินถิงเซียวด้วย
พวกที่เข้ามาแลกนามบัตรกับเธอ มีบางคนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ บางคนเป็นนักลงทุน แล้วยังมีนักแสดงบางคนด้วย
พอจะต้องรับมือก็ไม่ยาก
“อ๊ะ นี่มันมู่น่อนน่อน คนเขียนบท “เมืองพัง” ผู้โด่งดังของเรานี่นา”
ในเวลานี้เอง เสียงพูดที่แฝงไปด้วยแววจิกกัดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังมู่น่อนน่อน
ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง มู่น่อนน่อนก็สามารถบอกได้ว่าเสียงนี้เป็นของใคร
เพียงเพราะว่า เสียงนี้มันช่างคุ้นเคยจริงๆ
มู่น่อนน่อนไม่เหลียวหลังมอง มู่หวั่นขีก็เดินไปรอบๆ ตัวเธอ แล้วพูดอย่างเชื่องช้า “นี่ไม่เจอกันนานแค่ไม่นาน ก็ไม่รู้จักฉันแล้วเหรอ เพื่อนของเธอที่ชื่อลี่อะไรสักอย่างนั่น อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วหรือยัง” ?”
วันนี้มู่หวั่นขีสวมชุดราตรีสีดำเว้าตรงหน้าอก การแต่งหน้าของเธอยังคงสวยเข้มเหมือนเคย ในแววตาที่เธอมองมู่น่อนน่อน แฝงไปด้วยความเกลียดชังที่เก็บซ่อนไว้ไม่ได้
หรือบางทีเธออาจจะไม่คิดจะปิดบังด้วยซ้ำ