ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 448 อย่าคิดจะรับกลับไปได้อีก
มู่หวั่นขีต้องการจะฆ่าเธอ
ถึงแม้ตอนนี้มู่หวั่นขีจะทำอะไรเธอไม่ได้ ถ้ามู่หวั่นขีรู้เรื่องของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามู่หวั่นขีจะทำอะไรเฉินมู่บ้าง
ดังนั้น การปล่อยให้เฉินมู่อยู่กับเฉินถิงเซียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึก ยืนเอนตัวพิงผนังด้านข้าง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ดังขึ้นสักพัก ก่อนที่อีกด้านจะกดรับสาย
เฉินถิงเซียวกดรับสาย แต่ไม่ได้พูดในทันที
มู่น่อนน่อนเรียกชื่อเขา “เฉินถิงเซียว?”
เฉินถิงเซียวพ่นเสียงออกมาหนึ่งคำอย่างเย็นชา “มีอะไรก็พูดมา”
เสียงของเขาฟังดูเย็นชามาก แต่มู่น่อนน่อนสัมผัสถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง เดาว่าเฉินถิงเซียวอาจอารมณ์เสียเพราะเธอส่งเฉินมู่ไปที่บ้านของเขา
มู่น่อนน่อนพูดด้วยความจริงใจ “ขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันส่งมู่มู่ไปที่บ้านของคุณโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า”
“ส่งมาแล้วอย่าคิดจะรับกลับไปได้อีก” เสียงต่ำของเฉินถิงเซียวฟังดูนิ่งเฉยมาก ไม่มีอารมณ์ใดๆ แอบแฝง
ช่วงนี้ มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับเฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้แล้ว
เธอตอบกลับ “ได้ค่ะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอในทันที
หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็วางสายไป
มู่น่อนน่อนยกโทรศัพท์ออกมาดู แล้วยิ้มอย่างขมขื่น
ผู้ชายคนนี้ บางครั้งก็เย็นชา…จนไม่รู้จะทำยังไงถึงจะดี
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์ แล้วเดินกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก
งานเลี้ยงประเภทนี้ค่อนข้างเหนื่อย เธอตั้งใจจะเข้าไปบอกกับฉินสุ่ยซานแล้วรีบกลับบ้าน
ในเวลานี้ มีร่างสูงเดินเข้ามาหาเธอ
“น่อนน่อน”
พอได้ยินเสียง มู่น่อนน่อนก็เงยหน้าขึ้นมอง ชะงักไปสักพักแล้วเรียกชื่อเขาออกมาอย่างถูกต้อง
“เสิ่นชูหาน”
คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสิ่นชูหานนั่นเอง
ความทรงจำสุดท้ายของเธอเกี่ยวกับเสิ่นชูหาน แทบจะเลือนลางไปหมดแล้ว
ที่เธอจำได้ คือเสิ่นชูหานตอนอายุสิบกว่าปี
ดังนั้น สำหรับเสิ่นชูหานที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่จริงก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
เสิ่นชูหานสวมสูทสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดเย็บมาอย่างดี ทำให้เขาดูสง่างามมาก
เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “เป็นคุณจริงๆ ด้วย”
เขาเดินไปหามู่น่อนน่อน แล้วยื่นมือออกไปหาเธอ แต่แค่พริบตาเดียว เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบปล่อยมือลงข้างตัว ด้วยท่าทางหมดแรง
“ไม่กี่วันก่อนมีข่าวออกมา บอกว่าคุณกลับมาแล้ว ผมยังไม่อยากเชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ” หลังจากเสิ่นชูหานพูดจบ เขาถอนหายใจแล้วพูดอีกครั้ง “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ”
เขาพูดซ้ำ “เป็นคุณจริงๆ ด้วย” พูดแบบนั้นอยู่หลายครั้ง
สามปีผ่านไป หลังจากที่เดินผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว มุมมองความคิดของมู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ถ้ามู่หวั่นขีไม่ได้โยนการตายของซือเฉิงหยู้มาไว้ที่เธอ เธออาจจะเต็มใจยกยิ้มและให้อภัยมู่หวั่นขี
อย่าว่าแต่เสิ่นชูหานเลย
เสิ่นชูหานไม่ได้เป็นหนี้อะไรเธอแล้ว
“เป็นฉันจริงๆ ค่ะ” มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก แล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
เสิ่นชูหานพูดตาม “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
มู่น่อนน่อนสังเกตได้ ว่ามือของเสิ่นชูหานที่วางอยู่ด้านข้างกำหมัดแน่น แล้วคลายลงอีกครั้ง
นั่นคือปฏิกิริยาตอนที่คนประหม่า
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนจะหยุดแล้วพูดว่า “ยังมีเพื่อนรอฉันอยู่ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ” เสิ่นชูหานพยักหน้าอย่างแข็งเกร็ง ก่อนจะยืนมองตามเธออยู่ที่เดิม
มู่น่อนน่อนเดินไปข้างหน้า แต่ก็รู้สึกว่าสายตาของเสิ่นชูหานยังคงมองเธออยู่ จึงอดที่จะเร่งเดินไม่ได้
พอเธอกลับเข้าไปในงานอีกครั้ง เธอไม่เห็นฉินสุ่ยซาน ดังนั้นเธอจึงต้องโทรหาฉินสุ่ยซาน
โชคดีที่ฉินสุ่ยซานรับสายเร็วมาก
“ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากขอกลับก่อน”
“ได้ กลับไปพักก่อนก็ได้ แต่ระวังพวกนักข่าวด้วยนะ”
ถ้าฉินสุ่ยซานไม่เตือน มู่น่อนน่อนก็เกือบจะลืมไปเลย
“เข้าใจแล้ว เธอเองก็รีบกลับด้วยล่ะ” เธอวางสายแล้วเดินออกไป
เธอเดินออกไปข้างนอก ถึงนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เธอยังไม่ได้เจอเสิ่นเหลียงเลย
พอคิดถึงเรื่องนี้ เสียงของเสิ่นเหลียงก็ดังขึ้นมา “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“ไม่คิดว่าเธอจะมางานนี้ด้วย ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะมา ฉันจะไปหาเธอแล้วมาด้วยกันยังดีซะกว่า” ทันทีที่เสิ่นเหลียงเดินเข้ามา เธอก็บ่นไม่หยุด “ต้องโทษตาบ้ากู้จือหยั่นคนนั้นคนเดียวเลย ขับรถไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ถึงมาถึงงาน…”
กู้จือหยั่นที่เดินตามหลังมา “ผมผิดอีกแล้วเหรอ คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถนนเส้นนั้นรถติด ให้ผมเปลี่ยนไปเส้นอื่น”
เสิ่นเหลียงหันกลับมาแล้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
กู้จือหยั่นนิ่งเงียบไปทันที
เสิ่นเหลียงหันกลับมาถามมู่น่อนน่อน “เธอมาที่งาน แล้วเสี่ยวมู่มู่ล่ะ?”
“ส่งไปที่บ้านของเฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนพูดจบ แล้วมองดูเวลา “เธอเข้าไปข้างในเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวงานจะจบก่อน”
“อืม” เสิ่นเหลียงพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามเธอ “จะกลับตอนนี้เลยเหรอ”
“อืม ฉันจะกลับก่อนแล้ว”
มู่น่อนน่อนโบกมือให้ แล้วเดินออกไปทันที
พอคิดถึงคำแนะนำของฉินสุ่ยซาน เธอก็ระมัดระวังเป็นพิเศษตอนที่เดินออกไปข้างนอก
แต่ก็ยังหนีไม่พ้นนักข่าวที่รุมเข้ามาอยู่ดี
ขณะที่เธอกำลังจะจากไป นักข่าวกลุ่มหนึ่งก็รุมล้อมเธอไว้
“สวัสดีค่ะ คุณเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง” ใช่ไหมคะ?
“ในช่วงสามปีมานี้คุณไปไหนมาคะ แล้วไปทำอะไร”
“จะมี “เมืองพังภาค2” ไหมคะ แล้วคุณจะร่วมงานกับใคร?
“คุณเป็นคนเขียน “เมืองพัง” ขึ้นมาเองจริงๆ เหรอครับ?
“สามปีที่ผ่านมาเป็นเหมือนกับข่าวลือ ว่าคุณไปแอบแต่งงานมีลูกที่ต่างประเทศจริงหรือเปล่าคะ?”
ในบรรดานักข่าวพวกนี้ มีบางคนให้ความสนใจกับงานของเธอ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็ให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัวของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกนักข่าวห้อมล้อมมาเป็นเวลานาน จึงรู้สึกอึดอัดอยู่พักหนึ่ง
แสงไฟจากแฟลชทำให้ดวงตาของเธอแสบมาก
ในเวลานี้เอง ก็มีเสื้อสูทพาดลงบนไหล่ของเธอ
หลังจากนั้น รปภ.ก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วกีดกันพวกนักข่าวออกไป “อย่ามารวมกันที่นี่ครับ โปรดให้ความร่วมมือด้วย…”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าเป็นเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานโอบไหล่ของเธอ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินออกไป โดยพวกนักข่าวยืนอยู่สองข้าง
มู่น่อนน่อนถอดเสื้อสูทออก แล้วส่งคืนให้เสิ่นชูหาน “ขอบคุณค่ะ”
เสิ่นชูหานไม่ได้เอื้อมมือไปรับมัน แค่ถามเธอว่า “ไม่หนาวเหรอ?”
“ไม่หนาวค่ะ” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
อันที่จริงมันอากาศเย็นหน่อยๆ แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สีหน้าของเสิ่นชูหานหดหู่เล็กน้อย “เพราะว่าผมชอบคุณ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงปฏิเสธผมให้ไกลแบบนี้ใช่ไหมครับ แม้แต่เพื่อนก็ให้กันไม่ได้?”
ด้วยนิสัยที่เด็ดขาดของมู่น่อนน่อน เธอต้องตอบออกไปตรงๆว่า “ใช่” แน่นอน
แต่เสิ่นชูหานไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอ
เขารีบพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณรักเฉินถิงเซียวมาก ผมไม่ได้คิดเกินเลยกับคุณแล้ว ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมได้เป็นเพื่อนกับคุณ . “