ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 465 ติดดิน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้คำตอบของเฉินถิงเซียว เธอก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เธอวางสายทันที
ส่วนเฉินถิงเซียวก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้ว เขามองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วก็วางโทรศัพท์ลง
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวเลิกงาน เขากลับไปที่บ้านพักของตัวเองก่อน เพื่อที่จะได้พาเฉินมู่ไปหามู่น่อนน่อนพร้อมกัน
ตอนที่พ่อลูกทั้งสองคนมาถึง มู่น่อนน่อนยังทำกับข้าวไม่เสร็จ
เธอกำลังเตรียมจะทำสตูว์
ในสตูว์ได้ใส่เห็ดเข้าไป ก็เลยมีกลิ่นหอมออกมา
เมื่อเฉินมู่เข้าไป เธอก็ได้กลิ่นหอมทันที เธอก็เลยวิ่งเข้าไปในห้องครัว “หอมจังเลยค่ะ!”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลมาก แล้วก็เสียงดังนิดหน่อย แต่ว่าฟังแล้วก็ไม่ดูเกินจริง
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของเธอ เธอก็เลยเดินออกมาจากห้องครัว
“มู่มู่?” เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะพาเฉินมู่มาด้วย
“คุณแม่!” เฉินมู่วิ่งเข้าไปกอดขาของมู่น่อนน่อนไว้ “หนูคิดถึงคุณแม่จังเลย!”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเธอก็รู้สึกใจละลายหมดแล้ว เธออุ้มเฉินมู่ขึ้นมา “แม่ก็คิดถึงมู่มู่!”
เฉินมู่เม้มริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตากลมโต และมองไปทางห้องครัว “อะไรคะทำไมหอมจังเลย!”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ก่อนจะอุ้มเธอเข้าไปในห้องครัว ในขณะที่เดินเข้าไปเธอก็พูดว่า “อาหารที่คุณแม่ทำเอง เดี๋ยวจะหอมกว่านี้อีก…”
ในห้องครัวมีเก้าอี้เตรียมไว้แล้ว เก้าอี้ตัวนั้นเตรียมมาเพื่อเฉินมู่โดยเฉพาะ บางทีเธอก็อยากจะไปล้างถ้วยล้างจานอะไรบ้าง เธอก็จะเอามาเหยียบ
มู่น่อนน่อนวางเธอไว้บนพื้น จากนั้นเธอก็วิ่งไปเอาเก้าอี้มา และก็วางไว้ตรงข้างหน้าเตาแก๊ส ก่อนที่เธอจะขึ้นไปเหยียบ
เก้าอี้อยู่ใกล้กับเตาแก๊สมากเกินไป มู่น่อนน่อนก็เลยอุ้มเธอขึ้น จากนั้นก็เอาเก้าอี้ดันออกไปข้างนอกเล็กน้อย และก็ให้เฉินมู่กลับไปยืนเหมือนเดิม
เธอเปิดฝาหม้อ ก่อนจะให้เฉินมู่ดมกิน
“หอมไหม?”
“หอม หอมมากค่ะ!” เฉินมู่มองไปที่หม้อด้วยตาแวววาว มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาในทันที เหมือนว่าเธอจะเอื้อมมือเข้าไปในหม้อในวินาทีต่อไป
มู่น่อนน่อนจึงรีบปิดฝาหม้อ ก่อนจะอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาอีกที
ในตอนนั้น เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้เลยถามเฉินมู่ว่า “เฉินชิงเซียวล่ะ?”
“เฉินชิงเซียวฮาฮา…” เฉินมู่รู้สึกว่ามันสนุกดีที่มู่น่อนน่อนเรียกว่า “เฉินชิงเซียว” เหมือนกับเธอ เธอก็เลยพูดตามแล้วก็หัวเราะไม่หยุด
มู่น่อนน่อนลูบหัวของเธอ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
เมื่อครู่นี้เธอเอาแต่สนใจเฉินมู่ จนเกือบลืมไปแล้วว่าที่นี่ยังมีเฉินถิงเซียวอยู่ด้วย
เธอเดินออกมาจากในห้องครัว เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เอาเอียงตัวเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหยิบแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า จากนั้นเขาก็หยิบเหยือกน้ำและเทน้ำให้กับตัวเอง
มู่น่อนน่อนมีนิสัยที่ชอบวางเหยือกน้ำกับแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ
เฉินถิงเซียวเทน้ำให้กับตัวเอง หลังจากดื่มน้ำแล้วเขาก็วางแก้วไว้ที่เดิม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็มีท่าทีที่ดูเย็นชา
คนปกติทั่วไป เวลาเทน้ำให้ตัวเองก็จะดูเป็นเรื่องปกติ
แต่พอเรื่องปกติไปอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว มันก็ทำให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้น แลดูติดดินมากเกิน
“เฉินชิงเซียว!”
เฉินมู่วิ่งออกมาจากด้านหลังของมู่น่อนน่อน ก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปทางเฉินถิงเซียว
เธอหยิบจานแก้วน้ำที่วางอยู่ในจานบนโต๊ะด้วยความสงสัย ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว และก็กระพริบตาพร้อมกับพูดว่า “หนูก็จะดื่มน้ำ”
เฉินถิงเซียวมองไปที่เธอ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเหยือกน้ำพร้อมกับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
เฉินมู่ถือแก้วได้เอียงมาก เฉินถิงเซียวยื่นมือไปช่วยเธอไปยุ่งไว้ “ถือแถเวให้ตรงๆ หน่อย”
“ค่ะ” เฉินมู่พยายามจะถือแก้วให้ตรง แต่แก้วก็ยังเอียงอยู่เล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเริ่มค่อยๆ ยอมรับในตัวเฉินมู่แล้ว และยอมรับความเป็นเด็กในประจำวัน เขาก็เลยไม่ได้บังคับให้เธอแก้ไขอะไร
เขาเทน้ำให้เฉินมู่ครึ่งแก้ว จากนั้นเขาก็วางเหยือกน้ำไปไว้ที่เดิม “ดื่มสิ”
ถึงแม้จะพูดว่าน้ำครึ่งแก้ว แต่ที่จริงแล้วมันมีน้ำแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของแก้วทั้งใบ
เฉินมู่เม้มริมฝีปาก ทำหน้าไม่พอใจ “น้อยไปค่ะ มีแค่นี้เอง…”
เฉินถิงเซียวยังไม่ได้กระพริบตา เขาพูดออกมาเพียงแค่ว่า “ดื่ม”
เฉินมู่หยุดนิ่งในทันที จากนั้นเธอก็ยกแก้วน้ำไปไว้ตรงปากอย่างระมัดระวัง
ในตอนที่เธอดื่มน้ำอยู่ เธอก็คอยแอบดูเฉินถิงเซียวเป็นระยะ
แล้วเธอก็พบว่าตอนที่เธอกำลังแอบมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็กำลังมองเธออยู่เหมือนกัน เธอตัวสั่นในทันที จากนั้นเธอก็รีบดื่มน้ำในแก้วจนหมดอย่างร้อนรน
หลังจากดื่มจนหมด เธอก็ยื่นแก้วน้ำไปตรงหน้าเฉินถิงเซียวเพื่อขอคำชื่นชม “คุณพ่อคะ หนูดื่มหมดแล้ว”
“จะให้รางวัลอีกแก้วนะ” ในขณะที่เฉินถิงเซียวพูดอยู่ เขาก็ยื่นมือไปหยิบเหยือกน้ำ
เฉินมู่เบิกตาโต จากนั้นเธอก็หันตัววิ่งหนีออกไป “หนูไม่ดื่มแล้ว”
เฉินถิงเซียวเห็นเด็กน้อยวิ่งออกไปแล้ว เขาก็เลยเก็บมือกลับไปไว้ที่เดิม จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองคุณแม่ของเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่ามองมานานเท่าไหร่แล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธอ เธอก็ยิ้มให้กับเขา “เดี๋ยวกับข้าวก็เสร็จแล้วนะ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามา ในสายตาของมู่น่อนน่อนก็มีแต่เฉินมู่ ไม่ทันได้สนใจเขาเลย
ที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่ารอยยิ้มที่เยือกเย็นของเฉินถิงเซียวมันหมายความว่ายังไง
แต่ว่าวันนี้เฉินมู่อยู่ที่นี่ด้วย เธอไปทำกับข้าวแล้วค่อยมาพูดกันดีกว่า
ตอนที่ทานข้าว เฉินมู่ไปเอาถ้วยของตัวเองในที่ห้องครัว
สิ่งที่ทำให้มู่น่อนน่อนตกใจก็คือ เฉินมู่ที่เดินเข้าไปหยิบถ้วยของตัวเองก่อนแล้ว จากนั้นเฉินถิงเซียวก็ตามไปหยิบถ้วยของตัวเอง
คุณชายเฉินอยู่ที่ตรงนี้ เขาไม่เพียงแต่จะเทน้ำให้กับตัวเอง นี่เขายังไปหยิบถ้วยด้วยตัวเอง…
มู่น่อนน่อนเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ตอนนี้เธอได้เอาเฉินถิงเซียวคนในอดีตที่คอยช่วยเธอล้างถ้วยล้างจานไปวางไว้อีกที่นึงแล้ว
ในตอนนี้ทานข้าวกัน นอกจากจะมีเพียงแค่เฉินมู่ที่เอาแต่พูดนั่นพูดนี่ไม่หยุด เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
แต่ว่า ตอนที่กำลังทานข้าวกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีฝนตกหนัก
ที่สำคัญฝนก็ตกหนักมากๆ ฝนกระเด็นกระทบกระจกหน้าต่าง จนเกิดเป็นเสียงดัง
เฉินมู่เกาะอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วก็ไปจับหยอดน้ำที่กันด้วยกระจก เธอหันไปพูดกับเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านข้าง “ผมตกแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร
เฉินถิงเซียวพูดเสียงดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เฉินชิงเซียว ฝนตกแล้ว!”
ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแอบแฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย แล้วก็แอบแฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย “ได้ยินแล้ว”
ทำไมเด็กน้อยถึงมีคำพูดเยอะแยะมากมาย
เฉินมู่ได้รับการตอบรับจากเฉินถิงเซียว เธอก็วิ่งไปทางห้องครัวด้วยความพอใจ
เฉินถิงเซียวมองดูร่างกายของเธอที่กระโดดโลดเต้น เขาก็ขมวดคิ้ว
ความคิดของเด็กน้อยนี่มันแปลกจริงๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ดีใจขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องครัวหลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เธอเห็นเฉินถิงเซียวยืนมองฝนอยู่ตรงข้างหน้าต่าง
เธอมองดูฝนข้างนอกหน้าต่างที่ตกหนัก ก่อนที่เธอจะพูดออกไปว่า “ฝนตกหนักมากเลย นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้ค้างที่ฉันซักคืนเถอะ”
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงที่เอาไว้ต่อรองกัน แต่นี่เป็นน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใย
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ มู่น่อนน่อนก็พบว่าคำพูดของเธอนั้นทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ เธอก็เลยรีบกัดปากแล้วพูดว่า “ที่บ้านของฉันมีอยู่หลายห้องนอน ไม่อย่างงั้นฉันไปนอนกับเฉินมู่ก็ได้ ห้องนอนหลักฉันจะยกให้คุณนอน”
เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้อง”