ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 469 มองอะไรก็ไม่เข้าตาไปหมด
“เฉินถิงเซียว ไฟท์บินของฉันคือวันพรุ่งนี้ 7 โมงเช้านะ”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ ในห้องก็เงียบสนิท เธอท้ายเธอก็แอบเอาหูไปแนบฟังอย่างห้ามใจไม่ไหว
ข้างในมีแต่ความเงียบสงบ ไม่มีเสียงอะไรเลย
ในห้องเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ว่าถ้าเอาหน้าแนบอยู่ตรงประตูแบบนี้ ถ้าคนข้างในเดินมาทางนี้ เธอก็จะได้ยินเสียงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างไร้หนทาง ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวก็ไม่อยากจะสนใจเธออยู่ดี
ผู้ชายคนนี้จริงๆเลย…ปลอบยากกว่ามู่มู่อีก
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปเคาะประตูอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณยังไม่ออกมา ฉันจะไปแล้วนะ?”
ในที่สุดในห้องก็จะมีเสียงเกิดขึ้น
เฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยความโมโห “ถ้าจะไปก็รีบไป!”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก ไปก็ไป!
ตอนที่เธอหันหลังจากไป ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกจากคนที่อยู่ข้างใน
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะมองไปยังทางเดินที่ไม่มีใครอยู่เลย สีหน้าของดูอึมครึมมาก
จะไปก็ไปสิ ทำไมต้องมาบอกเขาด้วย
เพราะถ้าเกิดว่าเขาอดทนไม่ไหวเขาก็อาจจะบังคับให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ มันก็เป็นเพราะเธอรนหาที่เอง
……
วันถัดมาก
เฉินถิงเซียวตื่นขึ้นมา ตอนที่เขาผูกเนคไทที่กระจกเต็มตัว เขาก็อดใจไม่ไหวยกมือขึ้นมาดูเวลา
มีเวลาอีกสิบนาทีกว่าจะ 7 โมง
ตอนนี้มู่น่อนน่อน น่าจะต้องขึ้นเครื่องที่สนามบินแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนี้ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดูอึมครึ้มมากกว่าเดิม
ท่าทีในการจัดเนคไทของเขาดูเหมือนเครื่องจักรและดูแข็งทื่อเล็กน้อย
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ สือเย่ก็ขับรถมารับเขาแล้ว
ในช่วงนี้หลังจากที่เฉินถิงเซียวเริ่มจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ สือเย่ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียวอีกต่อไป ซึ่งเขาทำหน้าที่ขับรถมารับเขาไปบริษัททุกวัน
สือเย่เปิดประตูให้เฉินถิงเซียวอย่างให้เกียรติ “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวเดินไปข้างหน้า ตอนที่เขากำลังจะขึ้นรถ หางตาของเขาก็เห็นเนคไทของสือเย่ เขาขมวดคิ้ว “เนคไทของนายไม่เข้ากับหยุดของนายเลย”
สือเย่ “???” ทำไมอยู่ดีๆ คุณชายถึงมาสนใจเรื่องสีเนคไทของเขา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบเขาก็ไม่ได้ขึ้นรถในทันที เขายังคงยืนจ้องเขาอยู่ตรงหน้าประตูแบบนั้น
สือเย่ครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงมองและพูดว่า “พรุ่งนี้ผมจะเปลี่ยนเส้นใหม่ครับ”
เฉินถิงเซียวก็ยังคงไม่ขยับ
สีหน้าของสือเย่นิ่ง เขามองสำรวจไปที่เฉินถิงเซียว ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปดึงเอาเนคไทออก
ในตอนนั้น เฉินถิงเซียวก็ยอมเข้าไปนั่งในรถ
สือเย่บ่นในใจ ถึงแม้ว่าปกติคุณชายจะเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกมาก แต่เขาก็จะไม่จู้จี้จุกจิกกับเรื่องการแต่งกายของเขาถึงขนาดนี้
ในตอนที่เขาไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จากนั้น สิ่งที่สือเย่คาดไม่ถึงก็คือ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่าไหร่
เขาเดินไปอีกฝั่งเพื่อไปนั่งตำแหน่งคนขับ ในตอนนี้เขากำลังจะออกรถ เฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่ข้างหลังเงียบๆ ก็พูดว่า “ในรถใช้น้ำของปรับอากาศกลิ่นไหนเนี่ย ทำไมเหม็นแบบนี้”
สือเย่พูด “ก็ใช้กลิ่นนี้มาตลอดนะครับ ครั้งก่อนคุณชายยังบอกว่าหอมอยู่เลย…”
เฉินถิงเซียวตอบกลับไปอย่างราบเรียบว่า “เหรอ?”
สือเย่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเฉินถิงเซียวนานแล้ว ในตอนนั้นเขาก็เลยไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาเอาฝามาปิดที่น้ำหอมปรับอากาศ จากนั้นก็โยนเข้าไปในถังขยะ
ตอนที่กำลังขับรถ เฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นมาอีกกว่า “ขับรถมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังขับรถได้ไม่นิ่งเลย นี่ก็ถือว่าเป็นความสามารถอีกอย่าง”
ตอนแรกเขารังเกียจสีเนคไทของเขา ต่อมาก็เป็นกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศในรถ ส่วนตอนนี้ก็รังเกียจที่เขาขับรถได้ไม่นิ่งพอ…
สือเย่เพิ่งจะเข้าใจ เฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ดีๆ ก็มาสนใจสีเนคไทของเขา และก็ไม่ได้เกลียดที่เขาขับรถได้ไม่นิ่งพอ แต่เป็นเพราะว่า ตอนนี้เฉินถิงเซียวมองอะไรก็ไม่เข้าตาเป็นหมด
ทำไมถึงมองอะไรไม่เข้าตาไปหมด?
แน่นอนว่าเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี!
ทำไมถึงอารมณ์ไม่ดี? งั้นก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหญิงแน่นอน!
ถ้าเกิดว่าเป็นเพราะมู่น่อนน่อน จนเฉินถิงเซียวมีท่าทีที่ไม่ปกติแบบนี้ มันก็เข้าใจได้
เมื่อเขาเข้าใจแล้ว สือเย่ก็รู้สึกโล่งมาก ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะจู้จี้จุกจิกแค่ไหน เขาก็จะรับมือด้วยความใจกว้าง
เมื่อไปถึงที่บริษัท นอกจากเฉินถิงเซียวจะมองเขาไม่เข้าตาแล้ว แม้แต่พวกผู้จัดการตำแหน่งสูงๆ เขาก็รู้สึกไม่เข้าตาเหมือนกัน
ในตลอดทั้งวัน ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข
สือเย่แอบคิดเอาเอง ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นอีก ถึงทำให้เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดีได้ขนาดนี้?
ตอนที่เลิกงาน สือเย่ก็ถามไปว่า “วันนี้คุณชายจะไปทานข้าวที่คุณหญิงใช่ไหมครับ?”
“ทานข้าวอะไรกัน ฉันบอกเหรอว่าจะเลิกงาน?” เฉินถิงเซียวนั่งบนหลังโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าที่ไร้อารมณ์ขึ้นมาก่อนจะพูดว่า “วันนี้ทำงานล่วงเวลา”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย “ครับ รับทราบครับ”
หลังจากที่เขาออกมาจากห้องประธาน สือเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
งานของในวันนี้ก็ทำเสร็จเกือบจะหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลาเลย แต่ว่าเฉินถิงเซียวเป็นหัวหน้าห้องเขา เฉินถิงเซียวบอกว่าจะทำงานล่วงเวลา แล้วเขาจะทำยังไงได้?
ครั้งก่อนเป็นเพราะเรื่องเสิ่นชูหาน เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนเลยทำสงครามเย็นใส่กัน
ครั้งนี้เป็นเพราะอะไรอีก?
ในขณะที่สือเย่กำลังเดินกลับไปที่ห้องทำงาน เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข่าวด้วย
บนอินเตอร์เน็ตไม่มีข่าวฉาวของคุณหญิงกับผู้ชายคนอื่น
ความคิดของคุณชาย ยากที่จะคาดเดาจริงๆ
สือเย่เพิ่งจะกลับไปถึงห้องทำงานของตัวเอง เขาก็ได้คำสั่งจากเฉินถิงเซียว
“มานี่หน่อย” หลังจากที่เขาสั่งอย่างเย็นชา เขาก็วางสายไป
สือเย่นึกว่ามีเรื่องรีบร้อนอะไร ก็เลยรีบไปหาเขา
“คุณชายเรียกหาผมมีเรื่องอะไรครับ?”
“โทรไปหามู่น่อนน่อน ถามว่าเธออยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังดูจริงจังเหมือนตอนที่คุยเรื่องงานกับสือเย่เลย น้ำเสียงไม่มีการเปลี่ยนไปเลย
สือเย่เม้มริมฝีปาก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดไรดี
ภายใต้สายตาของเฉินถิงเซียว เขาก็เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหามู่น่อนน่อน
โทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีคนรับสาย
สือเย่เปิดเสียงลำโพงอย่างรู้ตัว เพื่อที่จะให้เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน
“ผู้ช่วยสือ” เสียงของมู่น่อนน่อนดังออกมาจากในโทรศัพท์ ซึ่งน้ำเสียงนั้นแอบแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
สือเย่ถามคำถามที่เฉินถิงเซียวให้เขาถามเมื่อคู่นี้ในทันที “ตอนนี้คุณหญิงอยู่ที่ไหนครับ?”
มู่น่อนน่อนบอกที่อยู่กับเขา ก็จะถามเขาว่า “ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียวเหรอ?”
เมื่อสือเย่ได้ยิน เขาก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ และแสดงท่าทีให้เขารู้ว่าเขาสามารถพูดอะไรก็ได้
“ไม่ครับ แต่เมื่อครู่นี้ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์ให้กับลูกค้าคนหนึ่ง ก็เลยไปกดโดนเบอร์ของคุณอย่างไม่ตั้งใจ ก็เลยถามครับ”
แม้ว่าเหตุผลนี้จะฟังไม่ขึ้นเลย แต่ในเวลาปกติสือเย่มักจะเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเชื่อสิ่งที่เขาพูดออกมา
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ฉันนั่งเครื่องบินออกจากเมืองหู้หยางตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว น่าจะอีกสิบกว่าวันถึงจะกลับไป ยังไงก็รบกวนคุณพูดเตือนให้เฉินถิงเซียวทานข้าวด้วยนะ
สือเย่รับปากทันที “ครับผม คุณหญิงไม่ต้องกังวลมากนะครับ”
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
“คุณชาย…”
หลังจากวางสาย สือเย่ก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว ในขณะที่เขากำลังจะพูดเขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวดูแย่กว่าเดิมอีก
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่รู้ว่าได้ยินที่สือเย่เรียกเขาหรือเปล่า เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้น เขากลัวพวกเรามาอย่างเงียบๆ “เธอไม่ได้สนใจคำพูดที่ฉันพูดเลย”