ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 470 มู่น่อนน่อนก็ไปที่นั่น
วันนั้นตอนที่เขาอยู่ในบ้านของมู่น่อนน่อน เขาก็เคยคุยกับมู่น่อนน่อนไปแล้ว มากที่สุดห้ามเกินห้าวัน
แต่เมื่อครู่นี้เธอพูดในโทรศัพท์ว่าอะไรนะ?
อีกสิบกว่าวันถึงจะกลับมา
เหอะ เธอไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย
สือเย่ไม่รู้เรื่องราวระหว่างนั้น เมื่อได้ยินคำพูดที่อยู่ดีๆ เฉินถิงเซียวก็พูดออกมา เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเขาเองก็ไม่กล้าจะเปิดปากพูดด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวก็สุดลมหายใจเข้าและพูดว่า “ปล่อยข่าวออกไป คืนนี้จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมจีนติ่ง”
สือเย่ตอบรับทันที “ครับ”
เฉินถิงเซียวแทบจะไม่เคยเป็นคนพูดว่าจะจัดงานเลี้ยงเลย จากสถานะของเขาแล้ว ถ้าเกิดว่ามีการจัดงานเลี้ยง ก็จะมีคนมากมายมาร่วมงาน
สือเย่สามารถนึกภาพออกแล้ว ในงานเลี้ยงคงจะคึกคักมาก
แต่ เมื่อครู่นี้คุณชายบอกว่าให้จัดงานเลี้ยงในคืนนี้?
สือเย่มองดูเวลาอย่างเงียบๆ
นี่ก็ 6 โมงเย็นแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่โรงแรมจีนติ่งมีคนเยอะมาก ถ้าต้องการทานข้าวหรือไปนอน ทางโรงแรมจีนติ่งมีห้องอาหารและห้องพักเตรียมไว้สำหรับเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
แต่สำหรับการจัดเลี้ยงในห้องโถง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายขนาดนั้น
เพราะเฉินถิงเซียวไม่เคยเข้าร่วมงานแบบนี้มาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะให้เขาไปจัดงานเลี้ยงแบบนี้ ดังนั้นทางโรงแรมจีนติ่งก็ไม่มีทางจองห้องโถงไว้ให้เฉินถิงเซียวแน่นอน
โรงแรมจีนติ่งก็เป็นสิ่งที่เฉินถิงเซียวสร้างมากับมือ แต่คนที่ดูแลมาโดยตลอดก็คือกู้จือหยั่น ดังนั้นเรื่องพวกนี้ก็มักจะเป็นกู้จือหยั่นที่เป็นคนจัดงาน
เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอยากจะจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก…
สือเย่กำลังจะเปิดปากพูด เขาก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดว่า “พรุ่งนี้แล้วกัน”
สือเย่โล่งอกไปที “ครับ ผมจะสั่งคนไปจัดการให้”
เฉินถิงเซียวพิงอยู่ตรงเก้าอี้ จากนั้นเขาก็เหม่อลอย
ตลอดทั้งวัน แค่เขาคิดว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่ในเมืองหู้หยาง และไม่ได้อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของเขา แต่อยู่ห่างจากเขาไปไกลแสนไกลหลายกิโลเมตร เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็มองอะไรไม่เข้าตาไปหมด
ปกติตอนที่มู่น่อนน่อนอยู่ในสายตาของเขา เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
เป็นเพราะเคยชินกับสิ่งนี้เหรอ?
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปนวดขมับ
ก็คุยกันแล้วว่าไม่เกินห้าวัน แต่สุดท้ายเธอก็เอาคำพูดของเขาฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
……
ตอนกลางคืนที่กลับไป สือเย่รู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่ในบ้าน เขาก็เลยขับตรงไปที่บ้านของเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าบ้านของมู่น่อนน่อนจะอยู่บนถนนเส้นนี้เหมือนกัน แต่ว่าถ้าจะไปที่บ้านของมู่น่อนน่อน ระหว่างทางก็ต้องเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ หนึ่งซอย
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวมักจะไปทานข้าวทีมู่น่อนน่อนบ่อยๆ เขาก็เลยคุ้นเคยกับถนนทางไปบ้านของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างดี
ตอนที่รถขับผ่านซอยถนน เสี่ยงของเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังก็ดังขึ้น “เข้าไปในซอย”
สือเย่เงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาก็มองเห็นเฉินถิงเซียวที่กำลังขมวดคิ้วจากกระจกมองหลังรถ
สือเย่ถามออกไปว่า “คุณหญิงไม่อยู่บ้าน ก็จะไปที่นั่นเหรอครับ?”
เฉินถิงเซียวมองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็นจากกระจกมองหลังรถ “ใครบอกว่าฉันจะไปที่บ้านเธอ?”
สือเย่ชะงักไป เขารู้สึกหมดคำพูดแล้ว
จากนั้น เขาก็ขับรถไปตามที่เฉินถิงเซียวบอก จนไปถึงที่ที่มู่น่อนน่อนอาศัยอยู่ เขาหยุดอยู่พักนึงตรงใต้ตึก จนกระทั่งเฉินถิงเซียวบอกให้ไปได้ เขาถึงจะกลับรถ และขับออกไป
ในคืนนั้น เมืองหู้หยางฝนตกหนักอีกครั้ง
ฝนตกหนักจนไปถึงเช้าวันที่สอง
ตอนที่สือเย่ขับรถไปรับเฉินถิงเซียว เขาก็พูดว่า “ตอนนี้ก็ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว การที่ฝนตกหนักขนาดนี้ เป็นเรื่องที่เจอได้ยากมาก”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามอง จ้องมองไปยังฝนและหมอกที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง ก่อนจะขมวดคิ้ว
เฉินถิงเซียวในวันนี้ ไม่ได้เหมือนเมื่อวานที่มองอะไรก็ไม่เข้าตา ตอนนี้จิตใจของเขาดูกระสับกระส่ายมากขึ้น
สือเย่เอากาแฟไปให้เขา เพิ่งจะวางไว้ข้างมือของเฉินถิงเซียว แต่ก็ถูกเฉินถิงเซียวผลักทิ้งไป
กาแฟตกอยู่บนโต๊ะ แก้วแตกจนละเอียด และก็เกิดเสียงดังแสบหู
บนมือของเฉินถิงเซียวก็โดนกาแฟสาดใส่ กาแฟไหลลงมาจากมือของเขาทีละหยด บริเวณที่โดนกาแฟลวก ก็แดงขึ้นมาในทันที
สือเย่เพิ่งจะเดินไปได้แค่สองก้าว เขาก็รีบไปเอาผ้าขนหนูในห้องพักผ่อนมาวางไว้บนมือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามว่า “คุณชาย ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
เฉินถิงเซียวมองไปยังเศษแก้วกาแฟที่แตกอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาดูแย่มาก
“ผมจะรีบจัดการให้ครับ” ในขณะที่สือเย่พูด เขาก็วิ่งออกไปเอาอุปกรณ์เข้ามาทำความสะอาดเศษแก้วที่แตก
ในตอนนั้น โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น
หัวใจเฉินถิงเซียว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในเวลานั้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือกู้จือหยั่น ซึ่งเขามีความรู้สึกที่โล่งอก
เขารับสายด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ “มีธุระอะไร?”
“งานเลี้ยงอะไรของคืนนี้น่ะฉันจะเตรียมไว้หมดแล้ว นายไปเองแล้วกันนะ ฉันไม่ไปหรอก ฉันมีธุระจะต้องออกไปนอกสถานที่” เมื่อฟังน้ำเสียงของกู้จือหยั่น ก็รู้สึกว่ามันแตกต่างจากน้ำเสียงที่ปกติจะฟังดูผ่อนคลาย ซึ่งมันดูจริงจังและดูเป็นกังวล
ทำไมช่วงนี้คนพวกนี้ต่างก็พากันไปนอกสถานที่
มู่น่อนน่อนก็คนหนึ่ง ตอนนี้กู้จือหยั่นก็ไปเป็นไปอีกคนหนึ่ง
เฉินถิงเซียวถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ตอนแรกเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาย เป็นละครที่บริษัทเพิ่งจะรับเข้ามา พวกเขาไปถ่ายทำกันบนภูเขาทางทิศตะวันตก แต่ว่าช่วงนี้ฝนตกตลอดเลย ข่าวรายงานว่ามีโคลนถล่มที่นั่น แล้วก็ติดต่อคนในกองถ่ายไม่ได้เลย ฉันก็เลยจะไปดูด้วยตัวเอง”
หลายปีมานี้กู้จือหยั่นก็เป็นคนที่ดูแลบริษัทเสิ้งติ่งมาตลอด เขาเป็นประธานบริษัทอย่างเปิดเผย และเขาเองก็ดูแลจัดการเรื่องในหลายส่วน
ตอนนี้เฉินถิงเซียวจำเป็นต้องไปดูแลบริษัทตระกูลเฉิน ก็เลยไม่มีเวลามาดูแลบริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าเกิดไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นความตายของบริษัทเสิ้งติ่งจริงๆ กู้จือหยั่นก็จะไม่ไปหาเฉินถิงเซียวเด็ดขาด
เมื่อสามปีก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยมาดูแลบริษัทเสิ้งติ่งเลย กู้จือหยั่นรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วยตัวคนเดียว จนเขาก็มีประสบการณ์
เฉินถิงเซียวพูดอย่างราบเรียบว่า “ก็ส่งคนไปก็ได้นี่ นายไม่จำเป็นต้องไปเอง”
เสียงของกู้จือหยั่นฟังดูเกร็งเล็กน้อย “ไม่เสิ่นเสี่ยวเหลียงก็อยู่ในนั้นด้วย ฉันต้องไปที่นั่น วันนี้ทั้งวันฉันไม่ได้ติดต่อกับเธอเลย ฉันต้องไปที่นั่น เมื่อเห็นเธอไม่เป็นอะไรฉันถึงจะรู้สึกสบายใจ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ไม่นานก็มีเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น เขาคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากจะพูดอะไร เขาจึงพูดว่า “ฉันไม่คุยกับนายแล้วนะ ฉันขึ้นเครื่องตอนกลางคืน จะไปหาเธอคืนนี้เลย…”
เขาที่ยังไม่ทันได้พูดจบ เฉินถิงเซียวก็ตัดบทเขา
“นายบอกว่าเสิ่นเหลียงอยู่ในกองละครนั้นเหรอ หมู่บ้านภูเขาเล็กๆ ทางทิศตะวันตก ถ้าไปจากเมืองหู้หยาง ยังจะต้องเดินทางอีกสองวันเหรอ?”
กู้จือหยั่นประหลาดใจเล็กน้อย “นายรู้ได้ยังไง?”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเรื่องของบริษัทแล้ว ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้
“มู่น่อนน่อนก็ไปที่นี่ เธอบอกว่าจะไปเยี่ยมเธอ เธอเริ่มออกเดินทางตอนเช้าเมื่อวานนี้ วันนี้น่าจะอยู่ที่กองละครแล้ว” เสียงของเฉินถิงเซียวดังมาจากโทรศัพท์ เสียงของเขาฟังดูเงียบสงบมากผิดปกติ
เมื่อกู้จือหยั่นได้ยิน เขาก็ตกตะลึง เขาก็พูดคำหยาบออกมา และถามเขาว่า “นายติดต่อมู่น่อนน่อนไห้ไหม? คืนนี้นายจะไปด้วยกันไหม?”