ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 472 เขาจะต้องมาแน่นอน
เฉินถิงเซียวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ก้าวเท้าเดินไปยังทิศที่มา
ลูกน้องเข้าใจทันที เฉินถิงเซียวจะไปทางหลวงอีกเส้นที่ถูกดินถล่มไปตั้งนานแล้ว เขาเดินนำทางอยู่ข้างหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเฉินถิงเซียวอีกครั้ง: “คุณชาย ถนนเส้นนั้นตอนนี้ไม่ปลอดภัยอย่างมาก เสียหายหนักมาก ตอนที่เราเข้าไปในหมู่บ้าน ก็ถูกปิดกั้นห้ามเข้าไปแล้ว”
ถ้าหากถนนเส้นนั้นถูกทำลายแต่แรก ถ้าอย่างนั้นตอนที่มู่น่อนน่อนเข้ามาในภูเขา เป็นไปได้มากที่จะไปทางถนนเส้นนั้น
เธอขาดการติดต่อตั้งแต่เมื่อวาน อาจจะติดอยู่ที่ไหนบนถนน หรืออาจจะ…
เฉินถิงเซียวคิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นเล็กน้อย ฝีเท้าของเขา ก็ยิ่งก้าวเร็วขึ้น
ลูกน้องเร่งฝีเท้าเดินตามหลังเขา ถึงจะบังคับให้ตามฝีเท้าของเขาได้ทัน
เมื่อเฉินถิงเซียวเดินมาถึงทางเข้าทางหลวงที่ใช้เข้าภูเขาอีกเส้นหนึ่ง เห็นถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อถูกทำลายจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ก็กัดฟันแน่น หน้าตาเคร่งขรึม
ถนนนั้นไม่มีทางผ่านไปได้เลย
เฉินถิงเซียวยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยินเสียง “โครม!” วินาทีต่อมา หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งก็ตกลงมาอยู่ไม่ไกล กระแทกขอบถนนลงไปอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร ก็เดินไปทางนั้น
ลูกน้องรีบขวางเขาทันที: “คุณชาย ไปไม่ได้นะครับ!”
สือเย่เดิมทีก็จะมากับเขาด้วย แต่เฉินถิงเซียวไม่ให้เขามา
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป มีหลายเรื่องในบริษัทที่ไม่ได้จัดการ เขาเลยให้สือเย่อยู่เฝ้าดูที่บริษัทเฉินซื่อ
ตอนที่มา ผู้ช่วยพิเศษสือก็กำชับพวกเขาโดยเฉพาะ ในกรณีฉุกเฉิน จะต้องหยุดยั้งเฉินถิงเซียวเอาไว้ให้ได้
แต่ว่า เฉินถิงเซียวใช่ว่าใครที่ไหนจะมาหยุดยั้งได้ง่ายๆ?
“ปล่อยมือ”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่หันกลับไปเหลือบมองเขานิ่งๆ น้ำเสียงเย็นเยือกไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ลูกน้องถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจ อยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด อยากขวางแต่ก็ไม่กล้าขวาง ได้แต่ปล่อยมือออก และมองเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปตาไม่กระพริบ
ทางเข้าของทางหลวงเส้นนี้ ห่างจากทางหลวงเส้นนั้นที่พวกเขาพึ่งจะขับรถไปเมื่อกี้ไม่ไกล
เฉินถิงเซียวพึ่งจะเดินไปด้านหน้า เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากทางด้านหลัง
ลูกน้องหันกลับไป ก็เห็นกู้จือหยั่นพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เพียงแค่เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่อยู่บนตัวเลอะเต็มไปด้วยโคลน จนมองสภาพเดิมไม่ออกเลย
รถของเฉินถิงเซียวเมื่อกี้ก็ถูกทับอยู่บนถนนเส้นนั้น พวกกู้จือหยั่นมาจากถนนเส้นนั้น ขับรถคงจะเข้ามาไม่ได้แน่ น่าจะทิ้งรถและใช้มือปีนขึ้นมา ดังนั้นถึงได้มีสภาพตกระกำลำบากขนาดนี้
กู้จือหยั่นเห็นลูกน้องของเฉินถิงเซียว ก็รีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถามว่า: “เฉินถิงเซียวล่ะ?”
“คุณชายเขาต้องการที่จะไป…” ลูกน้องของเฉินถิงเซียวชี้สถานที่ที่เฉินถิงเซียวพึ่งจะหายไปเมื่อสักครู่นี้
กู้จือหยั่นมองตามไป ภาพที่เห็นก็คือทางหลวงสภาพพังยับเยิน มีเงาของเฉินถิงเซียวเสียที่ไหน
กู้จือหยั่นเดินเข้าไป ลองดูว่าจะเหยียบลงไปตรงไหน แต่เดินวนไปวนมาอยู่ตรงถนน ก็พบว่าเดิมทีก็ไม่มีที่ให้เดิน
เขาโกรธจนเตะหินตรงหน้าทีหนึ่ง พูดแช่งเบาๆ: “ไอ้บ้านี่! ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไง!”
ถึงแม้จะเป็นห่วงเฉินถิงเซียวมาก แต่เขาก็เชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้สะเพร่าขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวเดินจากตรงนี้ไป จะต้องมีความมั่นใจอย่างมาก
กู้จือหยั่นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตัดสินใจไปที่หมู่บ้านก่อนเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเสิ่นเหลียงปลอดภัยดีหรือไม่
……
ทางหลวงได้รับความเสียหายอย่างหนัก มีถนนบางส่วนแตกขาดออกไป
ยังมีถนนบางส่วน หลังจากที่เฉินถิงเซียวเดินไปข้างหน้าแล้ว ด้านหลังก็มีดินโคลนและหินบางส่วนร่วงตกลงมาอีกครั้ง
เขาก้าวเดินอย่างยากลำบาก แต่กลับไม่เห็นวี่แววของเงารถยนต์เลย
คงจะไม่ถูกพัดตกลงไปล่างหน้าผาจริงๆหรอกนะ
ด้านหนึ่งของถนนติดกับภูเขา อีกด้านเป็นหน้าผา ไม่ได้สูงชันมาก แต่เป็นป่าทึบไร้ซึ่งผู้คน รถยนต์ถ้าตกลงไป คนในรถจะเป็นหรือตายก็ยากที่จะคาดเดา
เฉินถิงเซียวมองดูใต้หน้าผา ก็จำเรื่องที่มู่น่อนน่อนมาเคาะประตูห้องเขาก่อนจากไปขึ้นมาได้
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตอนนั้นถ้าเขาเปิดประตู ไม่ให้มู่น่อนน่อนไป ตอนนี้เธอก็จะไม่หายตัวไปใช่หรือไม่?
เฉินถิงเซียวก็ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว เขาเดินไปด้วยสังเกตว่ามีรถหรือไม่ไปด้วย เรียกชื่อมู่น่อนน่อนไปด้วย
ข้างหน้าเป็นถนนดินโคลนเปียกแฉะ เงาคนสักคนก็ไม่มี
เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก ตะโกนลงไปใต้หน้าผา: “มู่น่อนน่อน!”
เดินมาไกลขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียกชื่อมู่น่อนน่อนมากี่ครั้งแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับเลย
เขาก็คิดว่าครั้งนี้จะเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีทางได้รับการตอบกลับจากมู่น่อนน่อน
ตอนที่เขากำลังจะหันหลังกลับเดินต่อไปข้างหน้า ข้างหลังก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
“ฉันอยู่ตรงนี้…”
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าอย่างแรง หันหน้ากลับไปทางที่เดินผ่านมาเมื่อกี้
“มู่น่อนน่อน? นั่นคุณหรอ?”
“…ฉันเอง”
มีเสียงตอบรับ
เสียงเหมือนว่าจะดังมาจากข้างทาง
เฉินถิงเซียวเดินไปตามเสียง ก้มตัวลงมองไปทางถนนที่ติดกับหน้าผา ก็เห็นมู่น่อนน่อนซึ่งถูกดินโคลนเลอะจนแม้แต่สภาพเดิมของเสื้อผ้าก็มองไม่ออก
เธอมือข้างหนึ่งคว้ากิ่งต้นไซเปรสหนาๆกิ่งหนึ่ง ข้างๆต้นไซเปรสเป็นหินก้อนหนึ่งที่ดูเหมือนพร้อมจะตกลงไปทุกเมื่อ ที่เธอเหยียบอยู่ใต้เท้าก็เป็นหินที่เกือบจะตกลงไปก้อนหนึ่งเช่นกัน
เธอดูแข็งทื่อมาก ไม่รู้ว่ายืนทนอยู่ท่านี้มานานแค่ไหน
“เฉินถิงเซียว!”
พริบตานั้นที่เห็นเฉินถิงเซียว เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้สัมผัสถึงความรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล
เธอเรียกชื่อเขาทีหนึ่ง ก็กัดริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก
มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
เฉินถิงเซียวยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ก้มตัวลงยื่นมือส่งให้เธอ พูดเสียงนิ่งขรึมว่า: “ส่งมือมาให้ผม”
เกือบจะในทันที มู่น่อนน่อนวางมือของตัวเองไว้ในมือของเขา
แรงแขนของเฉินถิงเซียวช่างน่าตกใจ ออกแรงดึงเธอขึ้นมาทันที
หลังจากที่มู่น่อนน่อนถูกดึงขึ้นมา ทั้งร่างกายก็อ่อนยวบลงไปกองกับพื้น
เธอหลับตาและหายใจเข้าช้าๆ ถึงจะเล่าประสบการณ์ของเธอออกมา: “เมื่อวานฉันเช่ารถคันหนึ่งจากในเมืองขับเข้ามา ระหว่างทางเจอเข้ากับโคลนถล่ม รถขับผ่านไปไม่ได้ ก็เลยลงจากรถแล้วเดินไป…”
ผลก็คือยิ่งเธอเดินไปข้างหน้า ก็พบว่าถนนข้างหน้ายิ่งแย่มากขึ้น และเธออยากจะเดินกลับไป ถนนข้างหลังก็ถูกทำลายไปแล้ว
สุดท้ายตัวเธอเองก็เกือบตกหน้าผา
เธอยืนอยู่ท่าเดียวตรงนั้นทั้งคืน
อาจจะเป็นเพราะเคยผ่านเรื่องระเบิดบนเกาะเล็กๆมาแล้ว แม้ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนไม่มีใครมาช่วยเธอ ในใจเธอก็ไม่มีความกลัวแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่ นี่ล้วนเป็นความคิดก่อนหน้านี้
เมื่อตอนที่เธอได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกชื่อเธอ เธอก็เข้าใจทันที ว่าเธอกำลังรอเฉินถิงเซียว
เพราะเธอรู้ ดังนั้นเธอถึงไม่กลัวอะไรเลย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วแน่น ดึงเธอลุกขึ้นมาจากพื้น ถามออกมาว่า: “ยังเดินไหวมั้ย?”
มู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปหมดทั้งตัว แทบจะยืนนิ่งๆไม่ไหว ถูกเขาดึงขึ้นมาก็เกือบจะล้มลง เฉินถิงเซียวตอบสนองไวรีบกอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน โอบรอบเอวของเธอไว้แน่น ให้เธอยืมแรงทรงตัวให้อยู่