ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 477 อาลัยอาวรณ์ฉัน?
มู่น่อนน่อนลืมตา ก็พบกับแววตาลุ่มลึกของเฉินถิงเซียว
เม้มปาก หรี่ตาเล็กน้อยแล้วสักพักก็ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน มานั่งบนเตียง
“ปึก!”
เฉินถิงเซียวเดิมทีก็คือก้มตัวลงมามองมู่น่อนน่อน ตอนที่มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเลยกระแทกเข้ากับหน้าผากของเขา
มู่น่อนน่อนแตะหน้าผากตัวเองเงียบๆ เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่นานก็หายไป
เฉินถิงเซียวเหยียดมือออก จับหน้าผากตัวเอง จ้องมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้านิ่งขรึมราวกับน้ำลึก
มู่น่อนน่อนกลิ้งลงจากเตียงช้าๆ พูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า: “ขอโทษที ไม่ระวังเลยชนคุณเข้า”
แม้ว่าเธอก็เจ็บนิดหน่อย แต่เฉินถิงเซียวดูจะเจ็บมากกว่า
ไม่ระวัง?
เฉินถิงเซียวเชื่อเธอก็แปลกแล้ว
เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี ทั้งสองคนนอนหลับเลยไม่ถอดเสื้อผ้า มู่น่อนน่อนสวมเสื้อคลุมของตัวเอง ก็เดินลงไปชั้นล่างเลย
คุณลุงที่รับช่วยเหลือพวกเขาคนนั้นตื่นเรียบร้อยแล้ว กำลังก่อไฟอยู่ในห้องครัว
มู่น่อนน่อนพูดออกมาว่า: “คุณลุง อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
คุณลุงเงยหน้าขึ้นมาจากกองไฟและควัน หรี่ตามองมาทางมู่น่อนน่อน: “เช้าขนาดนี้ก็ตื่นแล้ว ไม่นอนต่ออีกเสียหน่อยล่ะ?”
“ตื่นแล้วก็ลุกแล้วค่ะ คุณก็ตื่นเช้าขนาดนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?” มู่น่อนน่อนพับแขนเสื้อขึ้น: “จะทำอาหารเช้าใช่มั้ยคะ? หนูช่วยนะคะ ต้องทำอะไรบ้างคะ?”
คุณลุงส่ายหัว: “ไม่ต้องหรอก”
แม่หนูคนนี้มองดูแล้วผิวพรรณขาวเนียนละเอียด จะทำงานใช้แรงงานพวกนี้ได้ที่ไหน
“ถ้างั้นคุณจุดไฟนะคะ หนูช่วยคุณทำอาหารได้ค่ะ” มู่น่อนน่อนเสยผมที่ข้างหู พูดด้วยรอยยิ้ม
คุณลุงเห็นเธอพูดขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งจุดไฟอยู่หน้าเตาฟืน บอกเธอว่าต้องทำอะไรบ้าง
ในชนบทมีอะไรก็กินอันนั้น ฤดูไหนกินผักอะไร มีบะหมี่กินบะหมี่ มีข้าวกินข้าว
คุณลุงขอให้มู่น่อนน่อนทอดไข่สามฟอง จากนั้นเทน้ำต้มบะหมี่
น้ำยังไม่ทันจะเดือด คุณลุงก็ลุกขึ้นมา หยิบเสื้อกันฝนจะเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “คุณจะไปทำอะไรคะ?”
“ที่พื้นดินข้างหน้ามีผักกวางตุ้ง ฉันจะไปเก็บมาต้มกิน” คุณลุงขณะพูด ก็จะเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนมองออกไปข้างนอกแวบนึง ฝนตกหนักขนาดนั้น พื้นด้านนอกล้วนเป็นโคลน เดินเหยียบไม่ระวังนิดเดียวจะล้มเอาได้
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงคุณลุงไว้: “ให้หนูไปละกันค่ะ”
“เธอไปอะไร ฉันจะไปเอง!” คุณลุงดื้อรั้น แค่คิ้วขมวด ก็เผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของผู้สูงอายุ
ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวลงมาจากชั้นบน
มู่น่อนน่อนเห็นเช่นนี้ ก็รีบชี้ไปที่เฉินถิงเซียวและพูดกับคุณลุงว่า: “ให้เขาไปละกันค่ะ”
เฉินถิงเซียวชี้มาที่ตัวเอง เลิกคิ้วเล็กน้อยและเดินเข้าไป: “ไปทำอะไร?”
“คุณลุงบอกว่าจะไปเก็บผักกวางตุ้งตรงพื้นที่ด้านหน้า เอากลับมาต้มบะหมี่ น้ำในหม้อก็จะเดือดแล้ว คุณรีบไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนผลักเขาไปทางด้านนอกเล็กน้อย
น้ำเสียงใช้งานเขาเป็นธรรมชาติอย่างมาก
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอนิ่งๆแวบหนึ่ง รับเสื้อกันฝนจากมือของคุณลุงมา สวมใส่บนตัวแล้วก็เดินออกไป
มู่น่อนน่อนเห็นเขาเดินก้าวใหญ่ๆอยู่ในสายฝน ริมฝีปากเหยียดขึ้นเล็กน้อยยิ้มออกมา
เธอพบว่า เฉินถิงเซียวก็แค่พูดจาไม่น่าฟังกับเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าลงมือทำ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยไม่ตั้งใจ
แม้ว่าจะแตกต่างไปจากอดีต แต่เฉินถิงเซียวก็ยังคงเป็นเฉินถิงเซียว
“เหอเหอ” จู่ๆคุณลุงที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะออกมาสองที ส่ายหัวแล้วนั่งกลับไปที่หน้าเตาฟืนจุดไฟต่อไป
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “คุณลุง คุณหัวเราะอะไรคะ?”
คุณลุงแค่ยิ้ม ไม่พูดอะไร
เฉินถิงเซียวเก็บผักกลับมาอย่างรวดเร็ว
ใต้ชายคาของประตูหลังห้องครัวมีโอ่งเก็บน้ำ มู่น่อนน่อนหยิบผักไปล้างแล้วใส่ลงไปในหม้อ
อาหารเช้าก็คือบะหมี่ไข่
กินข้าวเสร็จ คุณลุงก็นั่งบนเก้าอี้โยกอยู่ข้างประตูใหญ่ อุ้มแมวสะลึมสะลือง่วงนอน
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวทั้งสองยืนอยู่ใต้ชายคาที่นอกประตู
“ฝนนี้ดูเหมือน แค่แปปเดียวคงจะไม่หยุดตกแน่ๆ” มู่น่อนน่อนมองสายฝนด้านนอก สีหน้ากังวลใจ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เคร่งขรึมมากเช่นกัน: “แถวๆนี้ก็ไม่มีคนอื่น ทางหลวงถูกทำลาย นอกจากรอคนมาช่วย ไม่มีทางอื่น”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าแถวนี้ไม่มีคนอื่น?” มู่น่อนน่อนถามเขาด้วยความสงสัย
เฉินถิงเซียวเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย: “เมื่อคืนออกไปดูมาสักพัก ไม่เห็นแสงไฟเลยสักนิด”
ที่แท้เมื่อคืนนี้เขาออกไป ก็เพื่อให้แน่ใจว่าแถวๆนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ถามเขาว่า: “จะต้องรอให้พวกเขามาหาเราจริงๆหรอ? ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอ?”
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ บนหน้าไม่แสดงสีหน้าใดๆ: “ผมเคยบอกแต่แรกแล้ว ให้คุณไม่มาจะดีกว่า”
“ก่อนที่จะมา ไม่ได้ตรวจสอบภูมิประเทศของที่นี่ เป็นความผิดพลาดของฉันเองจริงๆ แต่ความคิดของคุณมันถูกต้องทั้งหมดหรือไง?”
สีหน้าบนหน้าของมู่น่อนน่อนจางลง
เฉินถิงเซียวไม่แยแสกับคำพูดของเธอ หันไปมองเธอด้วยสีหน้าสบายๆ: “คุณแน่ใจหรอว่าในเวลาแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ อยากจะสนทนาหัวข้อนี้กับผู้มีพระคุณของคุณ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินถิงเซียวช่วยเธอ ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะยังคงยืนอยู่ข้างถนน อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นเขาหมดความอดทนเล็กน้อย ก็ไม่พูดหัวข้อสนทนานี้อีกต่อไป
ทั้งสองคนยืนอยู่ใต้ชายคาสักพัก ตอนที่เฉินถิงเซียวกำลังจะหันหลังกลับเดินเข้าไป มู่น่อนน่อนก็ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยื่นมือออกไปดึงเขาไว้อย่างกะทันหัน: “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงหมดความอดทนเล็กน้อย: “มีเรื่องอะไรอีก?”
“คุณไม่ให้ฉันมาตรวจสอบสถานที่ เพราะฉันต้องจากไปนานมากใช่หรือไม่ รู้สึก…” มู่น่อนน่อนสังเกตสีหน้าของเขา นิ่งไปสักพักถึงจะผ่อนน้ำเสียงและพูดว่า: “อาลัยอาวรณ์ฉัน?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาก็ลึกล้ำขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนสบตากันสองสามวินาที เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ความสามารถในการคิดไปเองเก่งใช้ได้”
มู่น่อนน่อนถามอย่างไม่ลดละ: “ถ้างั้นคุณก็บอกมาว่าเพราะอะไร? หรือว่าก็แค่เพราะ คุณคิดว่าฉันจะต้องหมุนรอบตัวคุณเท่านั้น นอกจากความอยากผูกมัดนั่นในใจคุณ ไม่มีเหตุผลอื่นสักนิดเลยหรอ?”
เฉินถิงเซียวเหมือนว่าจะขี้เกียจคุยกับเธอ สะบัดมือเธอออกและเข้าไปในบ้าน
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือเท้าสะเอว เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาวกับสายฝน
เฉินถิงเซียวก็แค่ปากแข็ง ต่อให้เขาจะมีนิสัยแปลกๆ ปากไม่ยอมรับ แต่เขาก็รีบมาช่วยเธอเป็นอย่างแรก อย่างที่เคยบอกเขาก็ห่วงใยเธอเช่นกัน
ความรู้สึกของเฉินถิงเซียวที่มีต่อเธอตอนนี้ อาจจะไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ค่อยๆลึกซึ้งมากขึ้นทีละขั้นๆ
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี
และตอนนี้ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาต้องออกไปจากที่นี่
ถ้าหากฝนตกติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าวัน เธอและเฉินถิงเซียวจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดงั้นหรอ?
แม้ว่าเธอจะมีความสุขมากที่ได้มีเวลาอยู่กับเฉินถิงเซียวตามลำพัง แต่เวลาและสถานที่มันไม่ใช่
เฉินมู่ยังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน เฉินถิงเซียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายังต้องดูแลบริษัทเฉินซื่อ ต่อให้ตอนที่เขาออกมาจะจัดการเรื่องของบริษัทไว้แล้ว แต่ยากที่จะไม่เกิดบางอย่างผิดพลาดขึ้น พวกเขาที่นี่แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี…
ขาดการติดต่อไปสิบกว่าวันโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้ามาในบ้าน ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดคุยอยู่กับคุณลุง
“มีทางที่จะไปในเมืองทางอื่นอีกมั้ย?”