ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 497 การเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่มาก
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับการตอบกลับมาจากเฉินถิงเซียว
เธอเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเช็ดคิ้วที่เฉินถิงเซียวเขียนให้กับเธอ แล้วเริ่มเขียนเองใหม่
เธอก็รู้อยู่ว่าไม่อาจเชื่อผู้ชายแมนทั้งแท่งที่ไม่มีพื้นฐานความชำนาญทางด้านศิลปะเลยสักนิดเดียวอย่างเฉินถิงเซียวคนนี้ได้
เธอถึงขนาดที่เคลือบแคลงในด้านการประเมินความสวยความงามของเฉินถิงเซียวเลยทีเดียว
เมื่อก่อนตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินถิงเซียวใหม่ๆ สภาพที่ขี้เหร่ขนาดนั้น เฉินถิงเซียวก็สามารถจูบลงได้ เมื่อกี้เขาเขียนคิ้วเธอจนกลายเป็นอย่างนี้ก็สามารถจูบลงด้วยเหมือนกัน…
มู่น่อนน่อนมีความเคลือบแคลงใจว่าเฉินถิงเซียวจะมีปัญหาในด้านการประเมินความสวยความงามบางอย่าง
เธอเขียนคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตา สุดท้ายหลังจากที่ทำการล็อกเมคอัพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงาร่างของเฉินถิงเซียวก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่หน้าประตู ถามเธอออกมาด้วยหน้าสงบนิ่ง “เมื่อกี้คุณเรียกผม?”
มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปที่ตรงหน้าเขา เลิกคิ้วมองเขาไป “คุณบอกว่าคุณเขียนคิ้วเป็น?”
เฉินถิงเซียวกระตุกริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เงียบไปสองวิ แล้วเอ่ยออกมาอย่างซื่อตรงเป็นอย่างมาก “…ไม่เป็น”
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าท่าทางซื่อตรงนี้ของเขาเพียงแต่แสดงออกมาเพื่อให้เธอหายโกรธเท่านั้น แต่ต้องบอกเลยว่ามันก็ยังได้ผลกับมู่น่อนน่อนอยู่
ผู้ชายที่ปกติจะหยิ่งจองหอง มายอมรับเรื่องที่ทำไม่เป็นออกมาต่อหน้าเธออย่างว่าง่าย มันก็ทำให้ใจอ่อนได้ง่ายมากเลย
มู่น่อนน่อนเดิมทีแล้วก็ไม่ได้โกรธอะไร จึงเอ่ยออกไป “ฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเถอะ” เฉินถิงเซียวพูด แล้วก็จูงมือเธอไป
มู่น่อนน่อนแข็งค้างไปเล็กน้อย แล้วก็ปล่อยให้เฉินถิงเซียวจูงมือเธอไป
พวกเขาคิดมาตั้งมากมาย ผ่านอะไรมามากมาย ท้ายที่สุดก็แค่เพื่อที่จะสามารถอยู่ด้วยกันได้
ถ้าผลสุดท้ายมันเหมือนกันหมด ทำไมยังจะต้องถูกความคิดที่ยุ่งเหยิงภายในใจเหล่านั้นส่งผลกระทบเข้ามาอีก
เฉินถิงเซียวเองก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองวันนี้ของมู่น่อนน่อน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงจู่ๆก็คิดตกขึ้นมา แต่ผลสุดท้ายแค่เป็นสิ่งที่เขาต้องการก็พอแล้ว
……
ออกจากบ้านไป เฉินมู่ก็กวนจะให้มู่น่อนน่อนอุ้ม
อันที่จริงเฉินมู่กวนอยากจะให้อุ้มน้อยมาก บวกกับมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่อยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ขอเพียงแค่คำขอของเฉินมันไม่ได้มากเกินไป เธอก็จะตอบรับได้หมด
มู่น่อนน่อนกำลังจะโน้มตัวลงไปอุ้มเฉินมู่ เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือเข้ามาดึงเธอเข้าไปด้านหลัง ใช้มือข้างเดียวอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่บึนปากออกมา “หนูจะเอาคุณแม่”
“ให้ฉันอุ้มเถอะ” มู่น่อนน่อนได้ยินก็อยากจะรับเฉินมู่ไป
เฉินถิงเซียวเอี้ยวตัวไปเล็กน้อย เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เธอหนัก ผมอุ้มดีกว่า”
“ฉันคิดว่ายังไหวอยู่…” ถึงแม้ว่าช่วงนี้เฉินมู่ตัวหนักขึ้นมาหน่อย แต่เธอก็ยังอุ้มไหวอยู่
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดกับเธอออกมาต่ออีก ได้เดินไปที่ลิฟต์แล้วกดลิฟต์ลง
ตอนที่ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกลงไป สือเย่ก็ได้ขับรถมารออยู่นานแล้ว
เห็นเฉินถิงเซียวสามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้ามา สือเย่ก็ได้ลงจากรถไปเปิดประตูเบาะหลังรถให้กับพวกเขา
จากสถานที่ที่มู่น่อนน่อนอาศัยอยู่ไปบ้านเก่าตระกูลเฉิน ระยะทางค่อนข้างที่จะไกลหน่อย ขับรถไปในเวลานี้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง
เฉินมู่นอนหลับอยู่บนรถ
ตอนที่มาถึงบ้านเก่าตระกูลเฉิน มู่น่อนน่อนก็ปลุกเฉินมู่
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ลงจากรถ แล้วก็ยื่นแขนไปจูงมู่น่อนน่อนเอาไว้อีกที
เขายืนอยู่ที่ด้านนอกรถ ชุดสูทสุดเนี้ยบ แขนยาวยื่นเข้าไปข้างใน มองไปแล้วก็ดูมีภาพลักษณ์คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่สุภาพเรียบร้อย
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมมองไปก็อยากจะหัวเราะอยู่บ้าง เธอเอามือของตัวเองไปวางลงบนมือของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวจับเอาไว้แน่น ใช้แรงจูงเธอลงมาจากรถ
มู่น่อนน่อนลงไปจากรถ กำลังจะผละออกจากเฉินถิงเซียวไปจูงเฉินมู่ แต่สุดท้ายเฉินถิงเซียวก็แย่งจูงเฉินมู่เอาไว้เสียก่อน ส่วนมืออีกข้างนึงก็ยังจูงเธอเอาไว้อยู่
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ไปกันเถอะ”
สือเย่ยืนอยู่ที่ข้างๆรถ มองเฉินถิงเซียวสามคนพ่อแม่ลูกพวกเขาจูงมือกันเดินไปยังประตูใหญ่บ้านเก่าตระกูลเฉินด้วยความอบอุ่น บนใบหน้าได้เผยรอยยิ้มปลื้มใจออกมาด้วยเหมือนกัน
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพไปเงียบๆส่งไปให้กู้จือหยั่น
เขาส่งไปทางวีแชท เพียงไม่นานกู้จือหยั่นก็ตอบข้อความเสียงกลับมาให้เขา
“สือเย่ ทุกวันนายโชว์ภรรยากับลูกนาย และอาหารที่ภรรยานายทำในสตอรี่ก็แล้วไป ตอนนี้นายยังส่งภาพสามคนพ่อแม่ลูกของเฉินถิงเซียวมาให้ฉันอีก นายยังคงคิดว่าทรมานฉันยังไม่อนาถพอใช่มั้ย? คนโสดมันไม่มีสิทธิมนุษยชนเลยเหรอ?!”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
สือเย่ตอบกลับไปด้วยความซื่อตรงเป็นอย่างมาก “ประธานกู้ ผมก็แค่อยากแบ่งปันความสุขกับคุณสักหน่อยเท่านั้นเอง”
กู้จือหยั่นเห็นภาพนั้นที่เขาส่งมาก็ยังไม่ได้มีการตอบสนองกลับมา ได้ยินสือเย่พูดมาอย่างนี้แล้ว เขาจึงได้มีการตอบสนองกลับออกไป “ถิงเซียวเขาหายดีแล้วจริงๆ?”
เมื่อวานเฉินถิงเซียวเป็นฝ่ายชวนเขาไปหามู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงด้วยกันเอง เขารู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ทันได้ยืนยันความคิดนี้ว่ามันจริงหรือเปล่า
สือเย่คิดๆไป แล้วก็ได้เอ่ยออกมา “โดยทั่วไปก็นับว่าเกือบจะหายดีแล้ว”
……
มู่น่อนน่อนพวกเขาพอเข้าประตูไป ก็มีคนใช้เข้ามาต้อนรับ
“คุณชาย…คุณหนูน้อย…”
คนใช้เข้ามา ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อน ก็มีความงงงวยออกมาชั่วขณะ
เมื่อสามปีก่อน คนใช้ในบ้านเก่าล้วนถูกเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่มีใครรู้จักมู่น่อนน่อนกัน
เฉินถิงเซียวมองไปทางคนใช้ด้วยใบหน้าที่ดุดัน พลางเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “เรียก “คุณผู้หญิง” สามคำนี้กันไม่เป็นเหรอ?”
คนใช้เห็นอย่างนี้แล้ว จึงรีบโค้งตัวส่งเสียงเรียกเป็นเสียงเดียวกันอย่างร้อนรน “คุณผู้หญิง!”
ทุกคนระมัดระวังกันจนไม่แม้แต่จะส่งเสียงหายใจดังๆออกมากันเลย
เฉินถิงเซียวไม่สนใจพวกเธอ ตรงเข้าไปพามู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ไปหาเฉินชิงเฟิง
สามปีก่อน เฉินถิงเซียวปล่อยข่าวปล่อยให้เฉินชิงเฟิงถูกตระกูลคู่อริลักพาตัวไป สุดท้ายโจรลักพาตัวก็ได้เพิ่มเงินขึ้นมาทันที เฉินถิงเซียวจึงเลือกที่จะแจ้งความไปในทันที
โจรลักพาตัวตัดแขนข้างหนึ่งของเฉินชิงเฟิง ถูกทรมาน สุดท้ายก็ถูกช่วยออกมาตอนที่ส่งตัวไปโรงพยาบาล ก็เหลือเพียงแค่ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว
หลังจากรักษาตัวออกจากโรงพยาบาลมา เฉินชิงเฟิงก็ทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็น ต้องกลายเป็นคนพิการไปโดยสมบูรณ์
เนื่องด้วยสาเหตุทางด้านร่างกาย ลักษณะนิสัยของเฉินชิงเฟิงจึงเปลี่ยนไปมาก ไม่เคยออกจากบ้านเลย
คนใช้พาพวกเขามาที่หน้าห้องเฉินชิงเฟิง เคาะประตูไปเบาๆ “คุณท่าน คุณชายมาแล้วค่ะ”
ด้านในไม่มีการตอบสนองใดๆออกมา
เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงเฟิงไม่คิดจะเจอเฉินถิงเซียว
คนใช้หันหน้ามา เอ่ยออกมาอย่างสองจิตสองใจ “คุณชาย…”
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “ถอยไป”
คนใช้รีบผันร่างเดินออกไปประหนึ่งได้รับนิรโทษกรรมมาก็ไม่ปาน
เฉินถิงเซียวยื่นมือเข้าไปเปิดประตูทันที
ภายในห้องมืดสนิท หน้าต่างถูกปิดเอาไว้สนิท มีเพียงแค่ที่ตรงประตูที่ได้เปิดออก มีลำแสงทอดเข้าไป จึงสามารถมองเห็นคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นได้รางๆ
คนคนนั้นก็คือเฉินชิงเฟิงนั่นเอง
สภาพอากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เขาสวมไม่ได้เยอะเลย บนร่างได้คลุมผ้าห่มเอาไว้ผืนนึง
ประมาณว่าคงจะถูกเสียงเปิดประตูทำให้ตกใจ เขาจึงค่อยๆหันหน้ามองไปทางประตู
สายตาของเขาได้จรดไปที่บนร่างของเฉินถิงเซียวก่อน
ในตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าสีหน้าได้เปลี่ยนไปเลย
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ข่าวที่ว่ามู่น่อนน่อนยังไม่ตายมาแล้ว แต่เมื่อเห็นพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตนโดยที่ไม่มีส่วนไหนบุบสลายเลยนั้น สำหรับเขาแล้ว มันเป็นการเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่มาก
ตลอดชั่วชีวิตของเขานั้นได้พยายามไปทุกวิถีทาง แต่ผลสุดท้ายกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย
เฉินเหลียนได้เข้าไปอยู่ในสถานพักฟื้นด้วยสติที่ฟั่นเฟือน ซือเฉิงหยู้ก็ได้เป็นศพฝังอยู่ในเหตุระเบิดที่บนเกาะครั้งนั้น
ส่วนเขาก็ได้กลายมาเป็นคนพิการคนนึง หลบอยู่ในที่ที่มืดมิดไร้แสงสว่างแห่งนี้ พึ่งพาความแค้นภายในจิตใจพยายามฝืนใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน