ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 503 รอยยิ้มมันช่างทิ่มตาจริงๆ
เฉินมู่แสดงอาการแปลกใจที่สุดกับคำพูดของมู่น่อนน่อน “กินบุหรี่กินอิ่มด้วยเหรอคะ?”
เธอรู้ว่าบุหรี่คืออะไร แต่ก็แปลกใจว่าสูบบุหรี่มันกินได้ด้วยเหรอ
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นก็พูดออกมา “เพราะว่านั่นเป็นทักษะของพ่อหนูไงคะ ในทางกลับกันหนูแค่รู้ว่าพ่อหนูอิ่มแล้วก็พอแล้วค่ะ”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างไม่รู้ความหมาย
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กินข้าวอิ่มแล้วและกลับมานั้น ในห้องมันเงียบเชียบผิดปกติ
มู่น่อนน่อนเปิดไฟ และสำรวจบริเวณโดยรอบ จนสุดท้ายสายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องของเฉินถิงเซียว
ไม่ต้องผลักประตูเข้าไปดู เธอก็รู้ดีว่า เฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ในห้อง
เพราะว่า ในห้องกลิ่นอายของเฉินถิงเซียวมันหายไป
ตัวเธอเองก็ยังไม่ชัดเจนกับความรู้สึกแวบนั้น ในทางกลับกันเมื่อเดินเข้าประตูบ้านไปแล้วก็รู้สึกได้ทันที ว่าเฉินถิงเซียวไม่อยู่ที่นี่
เมื่อเดินเข้าประตูไปนั้น เธอก็ยังให้ความสนใจตรงหน้าประตูด้วย
ก้นบุหรี่กับเถ้าบุหรี่ที่อยู่ตรงนั้นมันไม่อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะจัดการกวาดจนสะอาดขึ้นมาจริงๆ
เธอจินตนาการท่าทางเฉินถิงเซียวถือไม้กวาดและโค้งตัวลงไปกวาดพื้น
เธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวกวาดพื้นมาก่อนเลย ภาพภาพนี้ต้องอาศัยจินตนาการเท่านั้น
ส่วนเฉินมู่นั้น เมื่อเข้าประตูไปก็วิ่งไปผลักประตูห้องของเฉินถิงเซียวทันที “คุณพ่อคะ?”
เธอใช้มือตบลงบนบานประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคนตอบกลับเธอ เธอเลยส่งเสียงมาทางมู่น่อนน่อนพร้อมทำสายตาสงสัย “คุณแม่ คุณพ่อไม่ยอมเปิดประตูค่ะ”
เพราะเธอนึกว่าเฉินถิงเซียวยังอยู่ในห้อง
“น่าจะนอนหลับแล้วมั้ง” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา พลันจูงมือเธอเข้าไปในห้องน้ำ “มู่มู่ก็ต้องนอนได้แล้วค่ะ”
เวลาก็ไม่ใช่ช่วงหัวค่ำแล้ว ก่อนหน้าที่เฉินมู่จะกินข้าวนั้นก็แสดงอาการให้เห็นว่าง่วงนอนแล้ว
ตอนที่เธอกำลังอาบน้ำให้เฉินมู่อยู่ เฉินมู่ก็เริ่มแสดงอาการสัปหงกหัวเหมือนเจ้าไก่น้อยที่กำลังจิกข้าว
หลังจากกล่อมเฉินมู่นอนแล้ว มู่น่อนน่อนก็ปิดประตู และความหาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วหาเบอร์โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียว นิ้วมือที่อยู่หน้าจอก็มีอาการลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็ไม่ได้กดโทรหา
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิดของเฉินถิงเซียว แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ให้เธอเป็นคนออกหน้าก่อน
แม้ว่าเธอจะก้มหัวให้เฉินถิงเซียวเพื่อคืนดีกันแล้ว แต่ปัญหาที่มันค้ำคอระหว่างคนสองคนยังไม่ได้สะสางเลย
และก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่…
……
เช้าตรู่ สือเย่ได้รับโทรศัพท์จากเฉินถิงเซียว พร้อมทั้งกำชับให้เขาไปที่วิลล่าเพื่อช่วยเอาของใช้ส่วนตัวพร้อมทั้งเสื้อผ้าสองชุด ไปให้เฉินถิงเซียวที่บริษัทด้วย
สือเย่รับโทรศัพท์จนพูดคุยเสร็จแล้ว จนเกิดความสงสัยอยู่ในใจ
คุณชายก็พักอยู่กับคุณหญิงน้อยอยู่ตลอด? ทำไมจู่ ๆ ต้องให้เขาเอาเสื้อผ้าไปที่บริษัทด้วยล่ะ?
ทะเลาะกันแล้วเหรอ?
เมื่อมาถึงบริษัท สือเย่ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองคาดเอาไว้นั้นไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย
ตลอดทั้งวัน บริษัทเฉินซื่อต่างตกอยู่ในสภาวะอัดอั้นท่ามกลางการถูกบีบจนเคร่งขรึมอยู่ตลอด
เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดี เวลาพูดจาออกมาก็ไม่ไว้หน้าใครเลย
ตอนถึงช่วงเวลาเลิกงานนั้น หลังจากที่สือเย่ได้รับข้อความที่ภรรยาส่งมาให้เร่งกลับบ้านไปกินข้าวถึงสามครั้งสามคราแล้วนั้น จึงได้ใช้ข้ออ้างในการส่งเอกสาร เพื่อไปยังห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
“คุณชาย วันนี้ให้ผมขับรถไปส่งคุณกลับบ้านไหม?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ไม่ต้อง”
“งั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ?” สือเย่ลองถามดู
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “เลิกงานเหรอ?”
สือเย่ผงกหัวรับเล็กน้อย พร้อมทั้งตอบกลับอย่างพินอบพิเทา “ใกล้จะสามทุ่มแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “เมื่อก่อนนายก็ไม่รีบร้อนกลับบ้านไม่ใช่เหรอ”
“เมียรอกินข้าวอยู่ที่บ้านครับ” เมื่อเอ่ยถึงภรรยา สีหน้าของสือเย่พลันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาทันที
รอยยิ้มนั่นมันช่างทิ่มตาชะมัด
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย พลันจ้องมองสือเย่อยู่สักพัก จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นทันทีและหยิบเสื้อโค้ทติดมือมาและเดินออกจากห้อง
ตอนที่เดินผ่านตัวของสือเย่นั้น เฉินถิงเซียวก็พูดอย่างปกติ “ไปเถอะ”
“คุณชายจะไปไหนครับ?” สือเย่รีบตามไปทันที
“ไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง”
สือเย่ได้แต่ขับรถพาเฉินถิงเซียวไปโรงแรมจีนติ่ง
เขานึกว่าเอาตัวเฉินถิงเซียวไปส่งที่โรงแรมจีนติ่งก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่ว่า ตอนที่เขาเปิดประตูให้เฉินถิงเซียวนั้น เฉินถิงเซียวกลับพูดขึ้นมาลอย ๆ “ไปกินข้าวด้วยกัน”
“คุณชาย…” สือเย่อยากจะปฏิเสธ แต่เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปในโรงแรมจีนติ่งแล้ว ภายใต้แสงไฟส่องแผ่นหลังตังตรงกลับแผ่รัศมีความหดหู่ออกมาแทน
เขาไม่อยากกินข้าวกับเฉินถิงเซียวสักนิด แต่เขาอยากกลับไปกินข้าวกับลูกเมียที่บ้านต่างหาก
อายุมากขึ้นแล้ว ก็คิดถึงแค่ที่บ้านอย่างเดียว
แต่เฉินถิงเซียวออกคำสั่งลงมาแล้ว แล้วเขาจะทำยังไงได้ล่ะ?
ก็ต้องเสนอหน้าเดินเข้าไปอยู่ดี
วันนี้เฉินถิงเซียวสั่งอาหารเยอะ จนเต็มโต๊ะฟุ่มเฟือยเหลือเกิน
แต่อาหารพวกนี้กลับมีรสชาติจืดชืดทั้งหมด
แถมยังไม่ใช่รสชาติถูกปากของเฉินถิงเซียวเลย การที่ได้อยู่กับเฉินถิงเซียวมาตั้งหลายปี สือเย่ย่อมรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวติดอาหารรสชาติเผ็ด
ผู้ชายตัวโตทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน แถมไม่พูดอะไรกันสักคำ ขนาดบรรยากาศมันยังดูเคอะเขินเลย
สือเย่เกิดอาการสงสัยขึ้นมา นี่เฉินถิงเซียวทะเลาะกับมู่น่อนน่อนเลยไม่ยอมกลับไปกินข้าวที่บ้าน ดังนั้นเลยไม่ให้เขากลับบ้านไปกินข้าวกับลูกกับเมีย จึงจงใจดึงเขามากินข้าวด้วยกันแทน
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นท่าทางของสือเย่ พลันเลิกคิ้วถามทันที “กินข้าวกับผมมันลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่าครับ” สือเย่รีบปฏิเสธทันควัน
จากนั้นก็ถอนหายใจออก พร้อมทั้งถามกลับอย่างกล้าบ้าบิ่น “คุณชายคุณ…ทะเลาะกับนายหญิงน้อยมาใช่ไหมครับ?”
เฉินถิงเซียวที่กำลังคีบกับข้าวอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของสือเย่แล้ว มือที่กำลังคีบอยู่นั้นถึงกลับค้างเติ่งไปทันที
เขาดึงมือกลับ จากนั้นก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะอาหาร สายตามองสือเย่ดั่งกองเพลิง
“ผมแค่พลั้งปากถามออกไปเอง ถ้าคุณชายยอมพูดออกมา ผมอาจจะช่วยแบ่งเบาคุณชายได้สักหน่อยนะ”
สือเย่พูดทุกอย่างออกมาจากใจจริง เขาเข้าใจเฉินถิงเซียวและย่อมเข้าใจมู่น่อนน่อนดี ว่าการที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ต้นเหตุจะมาจากเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวกลับไปยอมตอบคำถามของเขาทันที สือเย่ก้มหัวลงเล็กน้อย เพื่อรอเขาพูดออกมา
ชั่วครู่ พลันมีเสียงเฉินถิงเซียวค่อยๆ ดังขึ้น “นายว่าลี่จิ่วเชียน กำลังสร้างความสนใจให้มู่น่อนน่อนหรือเปล่า?”
“ประวัติความเป็นมาของคุณลี่ไม่ชัดเจนนัก ต้องมีจุดประสงค์อื่นกับนายหญิงน้อยแน่” เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
“ขนาดนายเองยังรู้ว่าลี่จิ่วเชียนคิดไม่ซื่อกับมู่น่อนน่อน ส่วนมู่น่อนน่อนยังพูดว่าระหว่างเธอกับลี่จิ่วเชียนไม่มีอะไรเลยเถิด!” เฉินถิงเซียวพูดจบ ยังหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
สือเย่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวแล้ว พลันย่นคิ้วหากันเล็กน้อย “คุณชาย ผมคิดว่า จุดประสงค์ของคุณลี่ที่มีต่อนายหญิงน้อย แต่ไม่ใช่เชิงชู้สาว มีจุดประสงค์อื่นมากกว่า”
นิสัยแย่ๆ ของคุณชายแก้ไม่หายสักที เพราะมักจะรู้สึกว่าผู้ชายที่เข้าใกล้มู่น่อนน่อนทุกคน ต่างมีความคิดเชิงชูสาวมีใจให้มู่น่อนน่อนทั้งนั้น
ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย แถมยังตะขิดตะขวงใจอยู่ตลอด แถมติดดื้อรั้นอีกต่างหาก
ปัญหาเหล่านี้ นานมากแล้ว ที่เขามองออกทุกอย่างอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว
แต่ว่า นั่นเป็นเฉินถิงเซียวตอนอายุ 23 ปี
เขาเพิ่งมาทำงานเป็นลูกน้องให้เฉินถิงเซียว ความจริงแล้วเฉินถิงเซียวก็ไม่เชื่อมั่นเขาเลย
หลังจากนั้นผ่านเวลามายาวนาน เฉินถิงเซียวก็อายุเพิ่มมากขึ้น และยิ่งเปลี่ยนเป็นคนเก็บเนื้อตัวไม่ค่อยพูด เวลาที่ทำงานอยู่ โดยพื้นฐานเขาไม่เคยสร้างปัญหาด้วยเหตุผลไร้สาระ
แต่นิสัยแย่ๆ เหล่านี้ กลับเอามาใช้กับมู่น่อนน่อนแทน
ถ้าพูดกันถึงต้นตอ มันเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินถิงเซียวในสมัยเด็ก
หลังจากผ่านเรื่องนั้นมาแล้ว เฉินถิงเซียวก็จะสร้างเกาะป้องกันในใจอยู่บ้าง
บางครั้งก็เปลี่ยนไปดื้อรั้น ไม่มีความปลอดภัย เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้
แต่พอนานวันเข้ายังเป็นแบบนี้อยู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย