ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 509 หน้าตาของตระกูลเฉิน
คนอื่น ๆ ที่ดูการแสดงละครดีๆ จบแล้ว เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนกับซูเหมียนเดินไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่มีเหตุผลให้มุงดูอีกแล้ว
ยังมีคนอยู่อีกหนึ่งส่วนที่อยากจะพูดคุยกับเฉินถิงเซียวต่อ แต่เมื่อมองสีหน้าไม่สู้ดีของเขาแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเขยิบเข้าหาอีกเลย
หลังจากคนพวกนี้สลายตัวไปแล้ว เฉินถิงเซียวหันหน้าไปทางเฉินชิงเฟิง
ตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน เวลาพูดจาก็ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรแล้ว
เฉินชิงเฟิงมองเขาด้วยอาการเยาะเย้ย รอยยิ้มแปลกประหลาดอย่างผิดปกติ “พวกเราเป็นคนเหมือนกัน เวลาฉันไม่ได้สิ่งของอะไร แกก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน”
เฉินชิงเฟิงเคียดแค้นมาชั่วชีวิต จนสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย
เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเฉินถิงเซียวมาตั้งแต่แรกแล้ว สำหรับความรู้สึกจงเกลียดจงชังและความอาฆาตพยาบาท เฉินถิงเซียวเต็มทนซึ่งไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนเอาไว้อีกแล้ว
แต่ว่า เฉินถิงเซียวแค่พูดออกไปประโยคเดียว เฉินชิงเฟิงก็สามารถจบชีวิตทันที
“นานแค่ไหนแล้ว ที่คุณไปเจอกับป้ามา?” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวแผ่วเบา ฟังดูก็เหมือนออกปากถามไปเรื่อย แต่สำหรับเฉินชิงเฟิงการได้ยินประโยคนี้มันกลายเป็นการโจมตีอันใหญ่หลวง
เฉินชิงเฟิงอยากเจอเฉินเหลียนอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเฉินถิงเซียว สภาพตนเองในเวลานี้คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ดังนั้นเลยไม่อยากให้เฉินเหลียนเจอหน้า
แม้ว่าเขาอยากเจอหน้าเฉินเหลียนมากก็ตาม แต่ก็แค่คิดเท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นคนออกตัวไปเจอหน้าเธอก่อนอย่างแน่นอน
เฉินชิงเฟิงจับที่วางมือของเก้าอี้รถเข็นเอาไว้แน่น พลันใช้สายตามองเฉินถิงเซียวอย่างจงเกลียดจงชัง สายตาโหดเหี้ยมราวกับต้องการฉีกเฉินถิงเซียวเป็นชิ้นๆ
เฉินถิงเซียวพอใจกับการแสดงออกของเฉินชิงเฟิง
“คุณคงอยากจะเจอหน้าเธอมากมั้ง วางใจได้เลย ผมจะพาคุณไปเอง” เฉินถิงเซียวโค้งตัวนั่งอยู่ด้านข้างเฉินชิงเฟิง พลันใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบ
สำหรับมุมมองของคนอื่นแล้ว การที่ทั้งสองคนมานั่งอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อลูกกำลังคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ตรงมุมไกลยังมีคนพูดถึงความรู้สึกอันดีของคู่พ่อลูกระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงอยู่ด้วย
“เฉินถิงเซียว!”
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนแม้ว่าจะทะเลาะกันถึงขั้นนี้แล้ว แต่เฉินชิงเฟิงก็ยังคำนึงถึงสภาพในตอนนี้ยังอยู่ในงานเลี้ยง แม้ว่าเขาโมโหเกลียดชังน้ำหน้าจนอยากจะฉีกเฉินถิงเซียวเป็นชิ้นๆ ยังคงกดเสียงเอาไว้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาเป็นอริศัตรูกันตั้งแต่แรกแล้ว
ใบหน้าเฉินถิงเซียวพลันแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ย “เป็นคุณพ่อที่แสนดีของผมจริงๆ เลย”
กระทั่งตอนนี้ เฉินชิงเฟิงยังคงนึกถึงหน้าตาของตระกูลเฉิน
“มีเรื่องอะไรก็พุ่งเป้ามาที่ผมนี่ ไม่ต้องไปหาเฉินเหลียนหรอก พวกเราต่างแซ่เฉินกันทั้งนั้น การที่ล้มล้างตระกูลเฉิน มันไม่มีประโยชน์อะไรแม้กับคุณและผมเอง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องของตระกูลเฉิน แววตาของเฉินชิงเฟิงยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมหนักกว่าเก่า และยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
คำพูดของเขามีการตักเตือนอย่างชัดเจน
ในอดีตช่วงเฉินชิงเฟิงเป็นคนคุมบังเหียนในตระกูลเฉิน เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยสนใจเขาด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งพูดถึงตอนนี้เลย
เฉินถิงเซียวเหมือนได้ยินเรื่องตลกอันแสนตลกขบขันที่แปลกประหลาดมาก เขายื่นมือออกไปประคองหน้าผากพลันก้มหน้าหัวเราะ จากนั้นจึงพูดว่า “ผมขอเตือนคุณหน่อยนะ ตอนนี้ตระกูลเฉินอยู่ในมือผมแล้ว อยากจะจัดการอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผม ส่วนคุณนั้น…”
“ผมจะให้คุณมีชีวิตอยู่ตามอายุขัย ใช้ชีวิตให้เพลิดเพลินไปเถอะ” เฉินถิงเซียวพูดจบ จากนั้นก็จัดชุดสูทเล็กน้อย และยืดตัวขึ้น “แต่ตอนนี้ ควรถึงตาที่คุณไปหาเหล่าเพื่อนเก่าของคุณแล้วสิ”
ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก สือเย่ก็เป็นคนเข็นรถเข็นจากทางด้านหลัง เพื่อพาเฉินชิงเฟิงมุ่งหน้าไปยังฝูงชนเองทันที
สามปีที่ผ่านมา นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินชิงเฟิงปรากฏตัว
ตอนที่เฉินถิงเซียวเข็นเขาเข้ามานั้น คนในงานต่างมองสภาพของเฉินชิงเฟิงในเวลานี้อย่างชัดเจน
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลกลุ่มชนชั้นสูงอภิมหาเศรษฐีแนวหน้า อำนาจบารมีมากล้นคับฟ้า เฉินชิงเฟิงดื่มด่ำมาตั้งสิบกว่าปี แต่พอแก่ตัวลงกลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น
จิตใจของคนเราต่างมีความคิดไม่ดี ท่ามกลางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีคนมากมายที่แสดงท่าทางสงสารจับจิตออกมาทางสีหน้า แต่ลึกๆ ในก้นบึ้งหัวใจนั้นกลับสมน้ำหน้าตั้งแต่แรกอยู่ก่อนแล้ว
พอพวกเขาเดินไป พลันมีคนเริ่มเข้ามาหาเรื่องคุยด้วย
“ไปหาคุณที่บ้านมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมออกมารับแขก โชคดีที่คุณชายเฉินกตัญญูเช่นนี้ ที่พาคุณมาเจอหน้าเพื่อนๆ ไม่งั้นนะ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอหน้าคุณสักครั้ง”
“จริงด้วย ยังดีที่คุณชายเฉินมีความกตัญญู…”
“ร่างกายของคุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ต่อไปต้องออกมาขยับแข้งขยับขาบ่อยๆ นะ”
“มีลูกชายที่แสนเป็นหน้าเป็นตาอย่างคุณชายเฉินแบบนี้ คุณอยู่บ้านคอยดูแลตัวเองในวัยเกษียณก็ดีมากจริงๆ …”
“กลุ่มพวกเราต่างอิจฉาคุณกันถ้วนหน้า!”
“……”
เฉินชิงเฟิงอดทนกับความเป็นห่วงอันจอมปลอมของคนเหล่านี้ มีที่เหลืออยู่ข้างเดียวก็ใกล้บีบจนแขนเสื้อขาด
ความเป็นห่วงเป็นใยอันแสนจอมปลอม กระทั่งยังพูดยกยอปอปั้นเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด
เขาไม่เคยตระหนักถ่องแท้เหมือนเวลานี้เลย ว่าตัวเองไม่ใช่เฉินชิงเฟิงที่มีเกียรติคนนั้นอีกแล้ว ตอนนี้เขาก็แต่ตาแก่คนหนึ่งที่อาศัยรถเข็นในการเดินเหินเท่านั้นเอง
ตอนนี้เขาทำได้แค่ยืมอากาศของคนอื่นมาหายใจให้มีชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
ทุกคนต้องการเป็นที่โปรดปรานของเฉินถิงเซียว แทบไม่มีคนเป็นห่วงสุขภาพของเขาจริงๆ
เฉินถิงเซียวยังไม่ยอมพูดอะไร พลันหยิบแก้วไวน์แดงมาจากพนักงานหนึ่งแก้ว และเอนตัวพิงไปทางด้านข้าง แทบไม่ได้สนใจกับกลุ่มคนเหล่านี้เลย
เฉินชิงเฟิงไม่ใช่สนใจเรื่องหน้าตาของตระกูลเฉินเหรอ?
เรื่องไปถึงขั้นนี้ หน้าตาของตระกูลเฉินก็ให้เขารักษาเองไว้ให้ดี
เฉินชิงเฟิงไม่มีวิธีแล้ว ทำได้แค่ต่อกรกับคนเหล่านั้นที่ถูกเฉินถิงเซียวบีบบังคับตนเอง
“โชคดี ถิงเซียวดูแลดีมาก”
“ต่อไปก็จะออกมาให้บ่อยขึ้น…”
แม้ว่าในใจของเฉินชิงเฟิงนั้นจะเกลียดแสนเกลียดเฉินถิงเซียวเป็นที่สุด ในเวลานี้กลับอดไม่ได้ที่ต้องฉีกยิ้มออกมา
เฉินถิงเซียวกำลังเอาเกียรติศักดิ์ศรีของเขาเหยียบย่ำลงในหลุมโคลน มันยิ่งทรมานยิ่งกว่าการถูกฆ่าให้ตายไปเสียอีก
ทว่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมอ่อนข้อง่าย ทำได้แค่อดทนเอาไว้
มู่น่อนน่อน ลี่จิ่วเชียนและเสิ่นเหลียงยืนอยู่มุมห้องบริเวณไม่สะดุดตานัก แถมคอยมองทุกการกระทำของเฉินถิงเซียวอยู่เงียบๆ
เสิ่นเหลียงยกแก้วไวน์แดงขึ้น พลันแตะแขนของมู่น่อนน่อนเอาไว้เพื่อสอบถาม “นี่ท่านประธานใหญ่ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
ก่อนหน้านี้เธอรู้แค่ว่าเฉินถิงเซียวต้องการจัดงานเลี้ยง แทบไม่ได้ถามสักคำว่าทำไมเฉินถิงเซียวจึงจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ขึ้นมา งานเลี้ยงฉลองสำหรับเธอแล้ว มันก็แค่การกินดื่มเฮฮาครื้นเครงกันเท่านั้นเอง
“ไปสนใจทำไมว่าเขาจะทำอะไร” มู่น่อนน่อนหันกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทรงสูง และเรียกพนักงานเพื่อหยิบแก้วไวน์แดงมาหนึ่งแก้ว
ลี่จิ่วเชียนเองก็นั่งลงด้านข้างเธอทันที
เมื่อเขานั่งลงแล้ว สายตาของเสิ่นเหลียงก็พิจารณามองมาที่ตัวเขา
ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ที่เธอคอยสังเกตลี่จิ่วเชียนมาตลอด
ลักษณะนิสัยของลี่จิ่วเชียนนั้นดูบริสุทธิ์มาก แถมยังทำให้คนอื่นรู้สึกชัดเจนอย่างเต็มเปี่ยม และระหว่างการแสดงพฤติกรรมออกมานั้นเป็นคำมีนักจิตวิทยาให้คำกำกับเอาไว้ว่าเข้มงวด
ดูเป็นคนขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย
เพราะว่าลี่จิ่วเชียนเคยช่วยชีวิตมู่น่อนน่อนเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ความรู้สึกมีอคติในใจของเสิ่นเหลียงพลันมลายหายไปบ้าง แต่กลับรู้สึกดีขึ้น
ซึ่งเธอมีความรู้สึกแปลกใจจนต้องถามลี่จิ่วเชียน “คุณลี่คะ พวกคุณเป็นนักจิตวิทยา คุณดูพวกพฤติกรรมของคนอื่นที่แสดงออกมา ก็สามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายใช่ไหมว่าคนคนนี้กำลังคิดทำอะไร?”
ตอนที่เสิ่นเหลียงถามนั้น ลี่จิ่วเชียนพลันหันด้านข้างเพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูดออกมา
เธอพูดจบ ลี่จิ่วเชียนครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยถึงได้พูดออกมา “คุณเสิ่นพูดเช่นนี้ มีทั้งถูกและไม่ถูกต้อง”