ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 521 อย่าสิ้นเปลืองเวลาเลย
เสิ่นเหลียงมีนิสัยใจร้อน คราวนี้จึงเริ่มด่าเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “เธอรอฉันพูดจบก่อนสิ!”
“ได้ๆๆ เธอพูดให้จบสิ” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงไม่สนใจคำพูดหลังจากนี้ของเธอแล้ว เธอหมุนแก้วในมือเล่น
มู่น่อนน่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาบอกว่า จะมอบบริษัทเฉินซื่อให้ฉัน”
“อะไรนะ มอบบริษัทเฉินซื่อให้เธอ?” เสิ่นเหลียงพูดโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไร
ทว่าเมื่อผ่านไปสองวินาที เธอก็รู้สึกตัวขึ้นได้ว่ามู่น่อนน่อนพูดว่าอะไร จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง คว้ามือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ “เธอพูดว่าอะไรนะ เธอพูดอีกรอบสิ?”
มู่น่อนน่อนเอ่ยซ้ำอีกรอบ “เฉินถิงเซียวบอกว่าจะมอบบริษัทเฉินซื่อให้ฉัน”
เสิ่นเหลียงอ้าปากกว้าง หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวว่าท่าทางแบบนี้ไม่น่ามอง จึงดันคางตัวเองขึ้นให้ปากประกบกัน
เสิ่นเหลียงถมึงตาคู่นั้น เสียงที่เอ่ยพูดก็สั่นระริก “เจ้านายใหญ่พูดอย่างนี้จริงๆหรือ”
“จริง….” มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“บริ…บริ บริษัทเฉินซื่อ….” เสิ่นเหลียงอ้ำอึ้ง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันต้องตรวจสอบสักหน่อยว่าตอนนี้บริษัทเฉินซื่อมีมูลค่ามากเท่าไรกันแน่”
ล้วนทราบกันดีว่าบริษัทเฉินซื่อนั้นร่ำรวย แต่ไม่มีใครรู้ว่าบริษัทเฉินซื่อร่ำรวยขนาดไหนกันแน่
มู่น่อนน่อนมองเสิ่นเหลียงอย่างรังเกียจครู่หนึ่ง “เธอรู้ไหมว่าตอนนี้บนใบหน้าเธอเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ฉันชอบเงิน ฉันมีอิทธิพล’ ไม่กี่คำนี้?”
“ใครไม่ชอบเงินกัน ฉันไม่เคยไม่ชอบเงินนะ” เสิ่นเหลียงคิดถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอทันที “สุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่า ได้รับผลประโยชน์มาแล้วต้องแบ่งกันคนละครึ่ง ถึงตอนนั้นเธอไม่ต้องแบ่งให้ฉันครึ่งหนึ่งหรอก เธอแค่มีทรัพยากรดีอะไรก็ล้วนโยนให้ฉันก็พอแล้ว ให้ฉันสามารถเดินกร่างไปในวงการบันเทิงได้!”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็จงใจเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเธออยากจะเดินกร่างในวงการบันเทิงจริงๆ ก็บอกกับกู้จือหยั่นสักคำก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
ในยุคสมัยที่มีดาราหน้าใหม่ที่เป็นกระแสไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ละโมบโลภมากในความสำเร็จตรงหน้าล้วนอาศัยกระแสมาทำให้โด่งดัง เพราะแบบนี้มันง่ายมาก
ส่วนสิ่งที่เสิ่นเหลียงอยากเป็นก็คือนักแสดง
นักแสดงต้องดูฝีมือการแสดง ดังนั้นจึงโด่งดังช้า
บริษัทเสิ้งติ่งมีกู้จือหยั่นเป็นคนนั่งบัญชาการ จึงเป็นธรรมดาที่จะดันเสิ่นเหลียง ทว่าเสิ่นเหลียงไม่ยอมรับบทละครที่กำลังฮิต ดันเลือกแต่บทละครที่ตัวเองชื่นชอบ
เสิ่นเหลียงม้วนแขนเสื้อ แสร้งทำเป็นโกรธ “มู่น่อนน่อน เธออยากจะทะเลาะสินะ?”
เอ่ยจบ เธอก็เอ่ยต่อว่า “เธอกับกู้จือหยั่นไม่เหมือนกัน เธอเจริญ ฉันก็เจริญ ฉันกินของเธอ ใส่ของเธอ ใช้ของเธอ ฉันไม่มีความกดดันในจิตใจแม้แต่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันสามารถช่วยพูดกับเฉินถิงเซียวให้เธอได้ แบบนี้ เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะติดค้างอะไรกับกู้จือหยั่นแล้ว”
“พูดเป็นเล่นไป เลือกบทละครที่แสดงได้ มีเงินให้พอใจ ฉันก็พอใจมากแล้ว”
เสิ่นเหลียงวกกลับมาที่หัวข้อสนทนาเดิม “เจ้านายใหญ่พูดแบบนี้จริงๆหรือ เขาจะมอบบริษัทเฉินซื่อให้เธอจริงๆ?”
“อืม”
“เธอกล้ารับหรือ”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยความคิดที่อยู่ในใจออกมาอย่างซื่อสัตย์ว่า “ไม่กล้า”
“ฮ่าๆๆ….” เสิ่นเหลียงหัวเราะจนตัวงอ “ขี้ขลาด! ให้เธอ เธอก็ไม่กล้ารับ ฮ่าๆๆ!”
“ฉันไม่ใช่พวกที่เชี่ยวชาญการทำธุรกิจ ถ้าบริษัทเฉินซื่อตกอยู่ในมือของฉัน ไม่เกินสามปีก็เจ๊งแล้ว”
“สามปี? เธอให้เกียรติตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ”
มู่น่อนน่อน “……”
เสิ่นเหลียงหัวเราะเสร็จแล้วก็ตบไหล่เธอเบาๆ “แต่ว่า เจ้านายใหญ่นั้นใจกว้างเสียจริง บริษัทเฉินซื่อก็ยังสามารถมอบให้เธอได้ แต่ว่าฉันไม่เชื่ออยู่บ้าง….”
“เขาพูดอย่างจริงจังนะ ทั้งยังให้ฉันไปหาเขาที่บริษัทเฉินซื่อในวันพรุ่งนี้ด้วย” มู่น่อนน่อนพิงเข้ากับพนักพิงเก้าอี้ราวกับหมดแรง “ฉันกล้าไปที่ไหนกัน เขาให้ฉันไปพรุ่งนี้ จะต้องให้ฉันเซ็นชื่อแน่นอน ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี”
“ไม่มั้ง? สามารถจัดการขั้นตอนมากมายขนาดนั้นเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วได้? เธออาจจะคิดมากไป?”
“เป็นไปไม่ได้ เฉินถิงเซียวพูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยพูดโกหกฉัน”
เสิ่นเหลียง “……” รู้สึกว่าถูกอวดแฟนเข้าเต็มๆ
“เธอรู้ไหมว่า ประโยคเมื่อครู่นี้ของเธอ ลอยเข้ามาในหูฉันที่เป็นคนโสดแล้วมันเสียดหูมากแค่ไหน?”
เสิ่นเหลียงหันหน้าไปมองเธอ “เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องจบเรื่องอย่างไรอีก เขาให้เธอ เธอก็รับเอาไว้สิ ไม่แน่ว่าเธอรับบริษัทเฉินซื่อแล้ว เขาจะรู้สึกมั่นคงมาก”
“…..”
มองเสิ่นเหลียงที่ไร้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ มู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาเสียเลย
…..
วันรุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน สือเย่เคาะประตูบ้านมู่น่อนน่อน
“คุณหญิงครับ คุณชายให้ผมมารับคุณไปที่บริษัทเฉินซื่อครับ”
“รอฉันสักครู่นะคะ”
มู่น่อนน่อนหันไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่ง และไปบริษัทเฉินซื่อกับสือเย่
วันนี้เธอยังคงเดินเข้าบริษัทเฉินซื่อทางประตูใหญ่
ตอนที่เธอเข้าไป ก็โบกมือให้กับฝ่ายประชาสัมพันธ์สองสามคน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ฉันมาอีกแล้วค่ะ”
ส่วนฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้ามองเธออย่างตัวสั่นงันงก
กลัวเธอขนาดนี้เลยหรือ?
เพียงเพราะเฉินถิงเซียวลงมารับเธอด้วยตัวเอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนชืดลง เมื่อวานคนเหล่านี้เยาะเย้ยเสียดสีเธอ ส่วนเฉินถิงเซียวแค่ลงมารับเธอด้วยตัวเอง ก็ทำให้พวกเธอหุบปากได้แล้ว
อำนาจของคุณชายใหญ่เฉินนั้น มิอาจดูเบาได้เลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนเดินผ่านหน้าพวกเธอไป พวกเธอถึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นมา
หนึ่งในฝ่ายประชาสัมพันธ์เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ไปแล้ว?”
“อืม”
“ตกใจหมดเลย”
“เมื่อวานถูกหัวหน้าฝ่ายเรียกไปคุย นึกว่าจะต้องเสียงานแล้ว…”
“ใครจะไปรู้ว่าท่านประธานจะ….กับมู่น่อนน่อนคนนั้นจริงๆ”
……
เมื่อมาถึงห้องทำงานของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็พบกับฟู้ถิงซีที่ไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้ว
ฟู้ถิงซีมองมาทางเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณมู่”
เป็นเพราะไม่ได้พบกับฟู้ถิงซีนานมากเกินไป มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร
เธอพยักหน้าให้ฟู้ถิงซีน้อยๆ “ทนายความฟู้”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ก็พบว่าบนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน ดันเก้าอี้ไปด้านหลังมู่น่อนน่อน และกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้
“สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องให้คุณมู่…..” ฟู้ถิงซียังเอ่ยไม่จบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวกวาดสายตาเย็นชามองมา
เขาดันแว่นตัวเอง อำพรางสีหน้าแข็งค้างบนใบหน้าครู่หนึ่ง และเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเอกสารที่คุณนายเฉินต้องเซ็นชื่อครับ”
มู่น่อนน่อนกวาดตามองคร่าวๆเล็กน้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาการโอนสิทธิ์
เหมือนกับที่เธอคาดเดาเอาไว้ เฉินถิงเซียวใช้เวลาหนึ่งวันในการเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อย วันนี้ก็เรียกเธอมาเซ็นชื่อ
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว น้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ดังนั้นฟังดูแล้วจึงแหลมสูงอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียว คุณบ้าไปแล้ว!”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ยื่นปากกาไปตรงหน้าเธอ
พื้นฐานจิตใจของฟู้ถิงซีดีมากเป็นพิเศษ จึงเริ่มกล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารทุกฉบับกับเธอราวกับรอบด้านไม่มีใคร โดยคล้ายกับไม่ได้ยินวาจาของมู่น่อนน่อนอย่างไรอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมากุมหน้าผาก หันหน้าไปมองฟู้ถิงซี “ทนายความฟู้ รบกวนรอสักครู่นะคะ ฉันจะคุยกับเฉินถิงเซียวสักหน่อยค่ะ”
“ผมขอแนะนำว่าคุณนายเฉิน อย่าสิ้นเปลืองเวลาไปโน้มน้าวเขาเลยครับ ไม่สู้เซ็นชื่อให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ งานผมก็จะได้เสร็จเร็วด้วยเช่นกัน” ใบหน้าของฟู้ถิงซีประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างเป็นมืออาชีพ “ถึงอย่างไรก็เหมือนกับที่คุณพูด เขาบ้าไปแล้ว คนบ้าฟังคำพูดของคนปกติไม่เข้าหูหรอกครับ”