ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 522 โอกาสในการประจบเอาใจเจ้านาย
เฉินถิงเซียวถมึงตาใส่ฟู้ถิงซีอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ฟู้ถิงซีก้มหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางจริงจัง คล้ายกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอ่ยวาจาเมื่อครู่นี้
เขามองดูแล้วสงบนิ่งมาก
แต่มู่น่อนน่อนก็ยังสังเกตเห็นว่ามือของฟู้ถิงซีที่ประสานจับกันกำแน่น
มู่น่อนน่อนหัวเราะเสียงเบา เธอนึกว่าพื้นฐานจิตใจของฟู้ถิงซีจะดีไปจนถึงระดับที่ไม่กลัวเฉินถิงเซียวแล้วเสียอีก
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน มือหนึ่งยันโต๊ะเอาไว้ ท่าทางนี้ดูแล้วคล้ายกับว่าโอบมู่น่อนน่อนเอาไว้ในอ้อมแขน
เขายื่นนิ้วออกมาเคาะบนโต๊ะสองนิ้ว เตือนมู่น่อนน่อนว่า “เซ็นชื่อเถอะ”
มู่น่อนน่อนจะกล้าเซ็นชื่อได้อย่างไร
ฟู้ถิงซีเป็นทนายความเลื่องชื่อของเมืองหู้หยาง และเป็นทนายความที่เฉินถิงเซียวจ้างเป็นการส่วนตัว ของพวกนี้เมื่อเซ็นชื่อไปแล้ว ก็จะมีผลทางกฎหมาย
บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้อย่างบริษัทเฉินซื่อ เฉินถิงเซียวกลับทำเหมือนเรื่องเล่นๆ บอกว่าจะมอบให้เธอก็มอบให้เธอ
เธอไม่เคยมีความคิดจะแตะต้องบริษัทเฉินซื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้เฉินถิงเซียวมอบบริษัทเฉินซื่อให้เธออย่างเต็มใจ เธอก็ไม่กล้ารับเอาไว้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดีแล้ว จึงขมวดคิ้วเรียกชื่อเขาไป “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เวลาของฟู้ถิงซีมีค่า คุณถ่วงเวลาหนึ่งนาที ผมก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้เขาหนึ่งนาที พวกเรายังต้องเลี้ยงดูมู่มู่ ประหยัดได้นิดหน่อยก็ประหยัดเถอะ”
น้ำเสียงของเขาจริงจังมาก คล้ายกับว่าจู้จี้จุกจิกเรื่องเงินนี้จริงๆ
มู่น่อนน่อนรู้ เขากำลังหยอกเธอ
ในเวลาแบบนี้ เขายังมีอารมณ์มาหยอกเธอ
“เฉินถิงเซียว ฉันจะไม่เซ็นชื่อหรอกนะ บริษัทเฉินซื่อเป็นธุรกิจตระกูลเฉินของพวกคุณ ทำไมคุณถึงได้ทำเป็นเล่นๆ บอกว่าจะมอบให้ฉันก็ให้ฉันกัน”
เฉินถิงเซียวคล้ายกับรู้สึกว่าสีหน้าจริงจังของเธอน่าสนใจมาก ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นสินสอดที่ผมมอบให้คุณ”
มู่น่อนน่อนตะลึง กว่าครู่หนึ่งถึงจะหาเสียงของตัวเองพบ
เธอเอ่ยถามเขาเสียงเบา “คุณไม่กลัวว่าในอนาคตฉันจะเปลี่ยนใจ เอาเงินของคุณไปแล้วหนีไปกับผู้ชายคนอื่นหรือ?”
“หือ? ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้คุณเคยพูดประโยคหนึ่ง” เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยช้าๆว่า “ทั้งเมืองหู้หยางมีผู้ชายคนไหนที่มีอนาคตมากกว่าเฉินถิงเซียวด้วยหรือ”
มู่น่อนน่อนเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยพูดประโยคนี้
เวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว ตอนที่เธอพูดประโยคนี้ เป็นการพูดต่อหน้าสื่อมวลชน
คิดไม่ถึงเลยว่ากระทั่งเรื่องเก่านมนานเช่นนี้ เขาก็ยังจำได้
เสียงของเฉินถิงเซียวดึงเธอออกมาจากความทรงจำ “เช่นนั้นตอนนี้ผมถามคุณ คุณคิดว่าทั้งเมืองหู้หยางมีผู้ชายคนไหนที่มีอนาคตมากกว่าผมหรือไม่”
คำตอบของเธอเหมือนกับในปีนั้น
ไม่มี
“แค่ก!”
ฟู้ถิงซีที่ถูกมองเป็นพื้นหลังมาโดยตลอดลองดึงดูดความสนใจของสองคนนี้ และแสดงออกถึงการคงอยู่ของตัวเอง
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูสองสามีภรรยารำลึกความทรงจำกัน
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าในห้องยังมีคนอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
เธอถมึงตาใส่เฉินถิงเซียว “จะให้ฉันมาในวันอื่นแทนหรือไม่”
คำตอบของเฉินถิงเซียวคือ ยัดปากกาเข้าไปในมือของมู่น่อนน่อนใหม่
“ผมหิวแล้ว เร็วหน่อย” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบก็เดินอ้อมไปนั่งอีกด้าน เซ็นชื่อด้วยกันกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยังคงไม่ขยับ
เฉินถิงเซียวแสร้งทำเป็นมองเธออย่างดุร้าย “ถ้ายังไม่ยอมเซ็นชื่ออีก ผมจะไม่ให้คุณเจอมู่มู่!”
“……” มู่น่อนน่อนมุมปากกระตุก รู้สึกว่าบางครั้งเฉินถิงเซียวก็ติ๊งต๊องน่าเบื่อเป็นพิเศษ
ฟู้ถิงซีก็นั่งลงและเริ่มจัดเอกสารเช่นกัน
…….
เอกสารที่ต้องเซ็นชื่อมีเยอะมาก ตอนที่เซ็นชื่อเสร็จก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว
พวกเขาเซ็นชื่อเสร็จ ฟู้ถิงซีก็จากไป
ก่อนฟู้ถิงซีจะจากไป มู่น่อนน่อนก็ยื้อให้เขากินข้าวด้วยกัน
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก ครั้งหน้าแล้วกัน ถ้าหากว่าคุณนายเฉินเข้าครัวด้วยตัวเอง…..”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ เฉินถิงเซียวก็คว้าหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วโยนใส่ฟู้ถิงซี “นายฝันไปเถอะ”
ฟู้ถิงซีหลบได้อย่างน่าหวาดเสียว ใช้น้ำเสียงซื่อตรงเป็นพิเศษฟ้องมู่น่อนน่อน “คุณดูสิครับ เขาปฏิบัติกับผมแบบนี้แล้ว ผมจะกล้าไปกินข้าวกับเขาที่ไหนกัน”
เขาเอ่ยจบแล้ว ก็เอ่ยว่า “ลาก่อน” ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะมีโทสะหนึ่งวินาที หลังจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเอกสารจากไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนมองประตูห้องทำงานที่ถูกปิดลง และหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “คุณจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเกรงใจหน่อยไม่ได้หรือคะ”
“ผมปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ เขายังกล้าก่อกวน ผมปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเกรงใจ พวกเขาจะไม่เหิมเกริมเลยหรือ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวจริงจังมาก
มู่น่อนน่อนไม่มีอะไรจะพูด
ทั้งสองคนออกไปกินข้าวด้วยกัน
เมื่อทั้งสองคนโดยสารลิฟต์โดยสารลงไป ตอนที่เฉินถิงเซียวจูงมู่น่อนน่อนออกจากลิฟต์โดยสาร หญิงสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนก็จ้องมองตาค้าง
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนนั้นก็รีบถอนสายตากลับมาทันที พยักหน้าอย่างเคารพนบนอบ “ท่านประธาน”
สายตาของเฉินถิงเซียวยังคงกวาดมองมาอย่างเย็นชาอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ยังมีอะไรอีก?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ผ่านไปไม่กี่วินาทีถึงเข้าใจความหมายของเฉินถิงเซียว
พวกเธอโค้งตัวทำความเคารพไปทางมู่น่อนน่อนอย่างพร้อมเพรียง “คุณมู่”
“หึ!” เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเย็น
ท่าทางแบบนี้ของเขาน่ากลัวมาก ทำให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนตกใจไปตามๆกัน
มู่น่อนน่อนดึงมือเขา เป็นการให้สัญญาณเขาว่าช่างมันเถอะ
เดิมก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะมาจู้จี้จุกจิกคำเรียกชื่อไปทำไม
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสาวที่มีไหวพริบ ไม่ต้องให้ใครเตือนก็รีบเอ่ยเรียกทันที “สวัสดีค่ะคุณหญิง”
เด็กสาวคนอื่นๆเห็นสีหน้าเฉินถิงเซียวดีขึ้นเล็กน้อย ก็รีบเอ่ยเรียกตามว่า “สวัสดีค่ะคุณหญิง”
เฉินถิงเซียวสีหน้าแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย จูงมู่น่อนน่อนจากไป
เมื่อออกจากบริษัทเฉินซื่อ มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองมือของตัวเองกับเฉินถิงเซียวที่จับกันอยู่อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอปรากฏตัวขึ้นที่บริษัทเฉินซื่อพร้อมกับเฉินถิงเซียวอย่างเปิดเผย
เมื่อขึ้นรถ มู่น่อนน่อนก็ถามเขาว่า “เรื่องในข่าว ในภายหลังจัดการกันอย่างไรหรือ”
“ก็จัดการแก้ไขแบบนั้นแหละ” เฉินถิงเซียวคาดเข็มขัดนิรภัย และโน้มตัวมาช่วยคาดให้กับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็ส่งเสียงปฏิเสธ “ฉันทำเอง”
“ไม่ให้โอกาสผมประจบเอาใจเจ้านายสักครั้งหรือ” มือของเฉินถิงเซียวยันอยู่บนพนักพิงเก้าอี้หลังมู่น่อนน่อน อีกมือหนึ่งก็ยันอยู่บนประตูรถ หลุบตาลงเล็กน้อย ถามเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ที่ว่างภายในรถเดิมก็เล็กแคบ มู่น่อนน่อนถูกเขาขังเอาไว้ในอ้อมแขน จึงตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ “เอาใจ…อะไร”
“คุณว่าจะเอาใจอย่างไรล่ะ” เฉินถิงเซียวเอ่ย ก้มหน้าจุมพิตลงบนติ่งหูเธอ
จุมพิตแผ่วเบาราวกับไม่มีอะไร เพียงแค่สัมผัสถูกเล็กน้อย ก็ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกสะท้านไปครู่หนึ่ง
เธอสั่นเล็กน้อย ขดตัวถอยหลัง “จริงจังหน่อยสิ”
“ตอนนี้ผมเป็นพนักงานของคุณแล้ว คนที่จะให้เงินเดือนผมก็คือคุณ ผมกำลังเอาใจเจ้านายของผม หวังว่าเจ้านายของผมจะให้เงินเดือนมากหน่อย เพื่อวางแผนการในการมีชีวิตรอด นี่ไม่ใช่เรื่องจริงจังตรงไหน”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างมีระเบียบแบบแผน แต่เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกเกี้ยวพาราสี