ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 523 คนที่โมโหเป็นประจำนั้น ตับจะไม่ดี
เขาอยู่ใกล้เธอมาก ตอนที่เอ่ยพูด ลมหายใจร้อนผ่าวก็รดลงบนใบหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนเซ็นชื่อแล้ว ว่ากันตามเหตุผล ตอนนี้บริษัทเฉินซื่อก็เป็นของเธอ เธอเป็นเจ้านายบริษัทเฉินซื่อแล้วจริงๆ
แต่มีเจ้านายที่ไหนถูกพนักงานของตัวเองบีบบังคับจนตกอยู่ในสภาพแบบนี้กัน
เฉินถิงเซียวคล้ายกับเล่นจนติดเป็นนิสัยอย่างไรอย่างนั้น เอียงคอจ้องมองมู่น่อนน่อน สายตาคู่นั้นราวกับมองทะลุเธอได้อย่างปรุโปร่งในแวบเดียว
“เจ้านายสามารถบอกได้ว่า ต้องการให้ผมใช้รูปแบบใดในการเอาใจ จะเป็นเรื่องของจิตใจหรือร่างกายล้วนได้หมด”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวประดับไปด้วยรอยยิ้ม คิ้วเข้มสง่างามนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด บนกายก็ไร้ซึ่งเงาร่างของประธานบริษัทเฉินซื่อ แต่มีกลิ่นอายของชายหนุ่มธรรมดาที่กำลังพลอดรักเพิ่มขึ้นมาแทน
มู่น่อนน่อนหลุดหัวเราะ ยื่นมือไปดันแผงอกเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณคิดว่าฉันต้องการการเอาใจทางด้านจิตใจหรือว่าร่างกายล่ะคะ”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง ลูกกระเดือกขยับไปมา ยื่นมือไปจับมือที่ดันอยู่บริเวณแผงอกตัวเอง น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “ผมคิดว่าคุณต้องการสิ่งหลัง”
ตอนที่เขาเอ่ยพูด นัยน์ตาดำราวกับน้ำหมึกคู่นั้นก็ไม่ละจากเธอไปแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่เฝ้ารอการล่าเหยื่อที่มีรสชาติอันโอชะ
มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ทว่ากลับเพิ่มความรู้สึกในการจีบสาวขึ้นมาหลายส่วน
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนสู้เขาไม่ได้
มือที่ดันอยู่ที่แผงอกเขาของเธอ ออกแรงผลักเขาให้ห่างออกไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นจัดการเสื้อผ้าบนร่างของตัวเองให้เรียบร้อยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ไม่ใช่บอกว่าหิวหรือ รีบขับรถไปกินข้าวเร็วเข้า”
เฉินถิงเซียวมองเธอ เอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งอื่นๆว่า “ความจริงแล้วข้าวจะกินหรือไม่กินก็ไม่เป็นไร”
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นมาได้ว่า ฝีมือการเย้าแหย่เธอของเฉินถิงเซียวนั้นดีเยี่ยมมาตั้งแต่สามปีก่อนหน้านี้แล้ว
มู่น่อนน่อนหน้าตึง น้ำเสียงที่เอ่ยก็สูงขึ้นไปหลายระดับ “ถ้ายังไม่ยอมขับรถอีกจะหักเงินเดือน!”
เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง และหัวเราะขึ้นมาในเวลาต่อมา
เป็นการหัวเราะเสียงดังจนตัวโยน
เพียงแค่ได้ยินเสียงหัวเราะ ก็สามารถฟังออกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีมากเพียงใด
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ดีเพราะอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆไปด้วย
เฉินถิงเซียวโยนโทรศัพท์มือถือให้เธอ “โทรศัพท์หากู้จือหยั่น”
เขาเอ่ยจบก็ขับเคลื่อนรถ
มู่น่อนน่อนนึกว่าเขามีธุระอะไรจะคุยกับกู้จือหยั่น จึงต่อสายโทรศัพท์หากู้จือหยั่นให้เขา ทั้งยังแนบโทรศัพท์มือถือให้ที่ข้างหูเขาอย่างเอาใจใส่
“มากินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “เรียกฟู้ถิงซีมาด้วย”
เขาไม่รอให้กู้จือหยั่นที่อยู่อีกด้านพูดอะไร ตัวเองเอ่ยจบแล้วก็บอกกับมู่น่อนน่อนว่า “เรียบร้อยแล้ว”
ความหมายก็คือให้มู่น่อนน่อนวางสายโทรศัพท์ได้
มู่น่อนน่อนดึงโทรศัพท์มือถือกลับมา และช่วยเขาเอ่ยกับกู้จือหยั่นว่าบ๊ายบาย
“เฉินถิงเซียวกำลังขับรถ เอาแบบนี้แล้วกันนะ บาย”
กู้จือหยั่นจ้องโทรศัพท์มือถือตัวเอง และจมเข้าสู่การครุ่นคิด
โทรศัพท์สายนี้โทรมาจากโทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวบอกแค่ว่าให้เขาไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง สุดท้ายคนที่วางสายโทรศัพท์คือมู่น่อนน่อน
จากข้อมูลอันน้อยนิดและมีอยู่อย่างจำกัดนี้ กู้จือหยั่นจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวคืนดีกับมู่น่อนน่อนแล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากด้วย
กู้จือหยั่นคิดถึงตัวเองที่ยังโดดเดี่ยวไร้แฟนสาว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่ปะทุออกมา
เขาถอนหายใจ และโทรศัพท์หาฟู้ถิงซี
เขาพูดคำพูดเดิมที่เฉินถิงเซียวฝากบอก ฟู้ถิงซียิ้มเย็น “ฉันไม่ไป”
“ทำไมถึงไม่ไปล่ะ ยากที่ถิงเซียวจะนัดพวกเราไปกินข้าวสักครั้งนะ” กู้จือหยั่นครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เฉินถิงเซียวเป็นฝ่ายเรียกเขาไปกินข้าว คล้ายกับว่าเป็นเรื่องในชาติที่แล้ว
“บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป” คำตอบของฟู้ถิงซีแน่วแน่ผิดปกติ
กู้จือหยั่นจึงกลุ้มใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้โน้มน้าวฟู้ถิงซีมากนัก และเดินทางไปยังโรงแรมจีนติ่งคนเดียว
…….
ตอนที่กู้จือหยั่นมาถึง อาหารที่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสั่งก็มาเสิร์ฟแล้ว
เขาค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่า บนโต๊ะอาหารยังมีเมนูอาหารที่เขาชอบด้วย
กู้จือหยั่นซาบซึ้งใจจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
เขามองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าซึ้งใจ “นายถึงกับจำได้ว่าฉันชอบกินเมนูอะไร!”
เพียงแต่ว่า เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงเขา ก็พบว่าสีหน้าของเปลี่ยนแปลงไปจนน่ากลัวอยู่บ้าง
“ทำ…ทำไมหรือ” กู้จือหยั่นนั่งลงด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
หรือว่าจะแสดงความซาบซึ้งใจเล็กน้อยก็ไม่ได้?
เฉินถิงเซียวหันไปมองมู่น่อนน่อน สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นครู่หนึ่ง “ฉันเป็นคนสั่งอาหารพวกนั้นเอง”
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันชอบกินอาหารพวกนี้” กู้จือหยั่นคิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นคนสั่งอาหารพวกนี้
มู่น่อนน่อนตบมือเฉินถิงเซียวเบาๆเป็นการปลอบประโลม
เฉินถิงเซียวแค่นเสียง แต่สีหน้าก็น่ามองขึ้นเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยิ้ม พลางอธิบาย “ตอนที่ไปกินข้าวกับเสี่ยวเหลียงก่อนหน้านี้ บางครั้งเธอก็จะเอ่ยขึ้นมา ฉันความจำดี จึงจำได้”
กู้จือหยั่นได้ยินก็ชะงักไป ต่อมาก็หัวเราะเสียงเบาอย่างไร้ความรู้สึก “โดยปกติแล้วเมื่อเธอเอ่ยถึงผมมักจะไม่ใช่เรื่องดี เอ่ยขึ้นตอนที่ด่าผมสินะ”
มู่น่อนน่อน “…..ก็ใช้ได้นะ”
เสิ่นเหลียงมักจะแขวะกู้จือหยั่นกับเธอบ่อยๆ
พวกเธอกินข้าวด้วยกันบ่อย เสิ่นเหลียงก็จะเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “กู้จือหยั่น XX คนนั้นชอบกินอาหารจานนี้ ไม่รู้ว่าอร่อยยังไง…” “นึกไม่ถึงเลยว่ากู้จือหยั่น XX คนนั้นจะชอบกินอาหาร…ประเภทนี้” คำพูดประมาณนี้
เธอฟังมาเยอะแล้ว จึงจำได้อยู่บ้าง
แต่ว่า สองคนนี้ล้วนเข้าใจซึ่งกันและกันได้ลึกซึ้งดีจริงๆ
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง “กินข้าวเถอะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอด้วยสายตาเฉยชาครู่หนึ่ง และเริ่มกินข้าวโดยไม่สนใจเธอ
มู่น่อนน่อนถามเขาเสียงเบา “ทำไมคุณถึงโมโหอีกแล้ว”
“เปล่า” เฉินถิงเซียวเอ่ยปฏิเสธ
มู่น่อนน่อนคีบเนื้อให้เขาชิ้นหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็ขยับเนื้อชิ้นนั้นไปไว้อีกด้าน และไม่กิน
ยังจะบอกว่าไม่โมโหอีก
นิสัยของผู้ชายคนนี้ ก็เหมือนกับสภาพอากาศในเดือนหก นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน
มู่น่อนน่อนนึกย้อนอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงโรงแรมจีนติ่งด้วยกัน จนถึงก่อนที่กู้จือหยั่นจะมาถึงเมื่อครู่นี้ ท่าทางของเฉินถิงเซียวดูแล้วยังอารมณ์ดีอยู่บ้าง
ตอนนี้จู่ๆก็โมโหขึ้นมา นอกจากเรื่องที่เธอสั่งอาหารที่กู้จือหยั่นชอบแล้ว มู่น่อนน่อนก็นึกเรื่องอื่นๆที่ทำให้เขาโมโหไม่ออกแล้ว
และไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เอาอารมณ์จากที่ไหนมาโมโหเยอะแยะกัน
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจกับเขาประโยคหนึ่ง “กลับไปถ้ามีเวลา ก็ไปตรวจตับที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะ”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอครู่หนึ่ง และหันหน้ากลับไปกินข้าวต่อ
ดังนั้น มู่น่อนน่อนจึงเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “คนที่โมโหเป็นประจำนั้น ตับจะไม่ดี”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบ หันหน้ามองไปทางเธอ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “มู่น่อนน่อน!”
“เรียกฉันทำไม” มู่น่อนน่อนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เคาะศีรษะเขาไปครั้งหนึ่ง
เฉินถิงเซียวตะลึง ยื่นมือไปลูบบริเวณศีรษะที่ถูกมู่น่อนน่อนเคาะ ชั่วขณะหนึ่งที่ลืมมีปฏิกิริยาตอบสนอง
มู่น่อนน่อนไม่เคยเห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของเฉินถิงเซียว เธอจึงเลิกคิ้วใส่เขา เอ่ยว่า “อยากจะแต่งงานก็เชื่อฟังหน่อย!”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไร้ซึ่งความรู้สึก เขาหันหน้าหนีไม่มองมู่น่อนน่อน โดยไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เธอทำเกินไปใช่หรือไม่
ในตอนนี้เองที่เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยเสียงเบาที่แทบจะไม่ได้ยินว่า “อ่อ”