ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 524 ล้วนได้หมด ฉันไม่เลือกมาก
เคร้ง!
ช้อนตักน้ำซุปในมือของมู่น่อนน่อนร่วงลงบนโต๊ะอาหาร
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวตาค้าง
เธอไม่เคยเห็นท่าทางเชื่อฟังเช่นนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อน
มู่น่อนน่อนจับแขนเสื้อของเขา หันหน้าไปมองเขา “คุณพูดอีกครั้งหนึ่งสิ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ามา ขมวดคิ้วมองเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พูดอะไร?”
หลังจากนั้น ก็ดึงมือเธอออกราวกับรังเกียจการสัมผัสจากเธอเป็นอย่างมาก
การกระทำเช่นนี้ในสายตาของบุคคลอื่นก็เหมือนว่าหงุดหงิดจากสัมผัสของเธอ
แต่มู่น่อนน่อนรู้สึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่า เฉินถิงเซียวเขินอายเสียแล้ว
เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญในเรื่องการแสดงออก ดังนั้นในตอนนี้จึงอาศัยสัญชาตญาณหลบสายตาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกคล้ายกับว่าเธอค้นพบวิธีการใหม่ที่ถูกต้องในการทำความรู้จักกับเฉินถิงเซียวแล้ว
กู้จือหยั่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามทั้งสองคนทนดูต่อไปไม่ไหว
เขาโยนตะเกียบลงกับโต๊ะ ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ฉันรู้แล้วว่าทำไมฟู้ถิงซี เจ้าหมอนั่นถึงไม่มากินข้าวด้วยกัน ข้าวมื้อนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยได้กิน ก็รู้สึกว่าถูกการจู๋จี๋ตรงหน้าทำให้ตาใกล้จะบอดเสียแล้ว”
เขาเอ่ยจบก็เอ่ยซ้ำอีกรอบด้วยความเสียใจในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง “มิน่าเขาถึงไม่มา”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็ยื่นมือไปโอบมู่น่อนน่อนเข้ามาในอ้อมแขน ภายใต้ความไม่ใส่ใจแฝงไปด้วยความรู้สึกโอ้อวดอยู่หลายส่วน “ลืมบอกนายไปเลยว่า พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว ถึงตอนนั้นจะเชิญนายมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
กู้จือหยั่นที่ถูกโจมตีติดต่อกัน ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีเสียแล้ว
“นาย…ไม่กี่วันก่อนหน้านี้พวกนายยังทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงจะแต่งงานกันเร็วขนาดนี้ล่ะ”
กู้จือหยั่นเอ่ยถามมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เธอคิดดีแล้วจริงๆหรือ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ตัดบทเขา “แม้ว่าจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แต่ก็อย่าลืมของขวัญแต่งงานล่ะ บ้าน รถ เครื่องบิน เงินสด ที่ดิน ล้วนได้หมด ฉันไม่เลือกมาก”
“……” กู้จือหยั่นไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
…….
กู้จือหยั่นถูกเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนยั่วโมโห ดังนั้นจึงดื่มไวน์ไปเยอะมาก
เฉินถิงเซียวให้บริกรแบกเขาขึ้นไปนอนบนห้องพักด้านบน และพามู่น่อนน่อนจากไป
เมื่อนั่งอยู่ในรถ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง
“ให้กู้จือหยั่นอยู่ที่นั่นคนเดียวจะไม่เป็นไรหรือ”
“โรงแรมจีนติ่งเป็นของเขาครึ่งหนึ่ง เบื้องหน้าเขาก็เป็นเจ้านาย ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาหรอก” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากนี้ก็เป็นห่วงผู้ชายคนอื่นให้น้อยหน่อย”
มู่น่อนน่อนถามเขา “เป็นห่วงในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้หรือ”
คำตอบของเฉินถิงเซียวนั้นเด็ดขาด “ไม่ได้”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็เม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยพูดอะไร
ปัญหาเดิมระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวยังคงอยู่
ก่อนหน้านี้เขาไม่ให้เธอทำความรู้จักกับลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนยังสามารถนึกถึงเหตุผลได้นิดหน่อย
แต่กระทั่งเธอเอ่ยว่าเป็นห่วงกู้จือหยั่นประโยคเดียว เฉินถิงเซียวก็ไม่อนุญาต
น้ำเสียงของเขาจริงจังขนาดนี้ ไม่เหมือนกับล้อเล่นแม้แต่น้อย
กู้จือหยั่นเป็นเพื่อนสนิทของเฉินถิงเซียวมาหลายปี
มู่น่อนน่อนรู้ว่า เฉินถิงเซียวเชื่อในตัวกู้จือหยั่น
ในเมื่อเชื่อในตัวกู้จือหยั่น และรู้ว่าเธอเพียงแค่เป็นห่วงกู้จือหยั่นในฐานะเพื่อน ทำไมเขาถึงยังคงไม่อนุญาตกัน?
มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดที่สือเย่เคยพูดเอาไว้
สือเย่พูดว่า นิสัยของเฉินถิงเซียวมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ถ้าหากชั่วชีวิตนี้เฉินถิงเซียวเป็นแบบนี้ตลอด โมโหเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ถือสาที่เธอพูดคุยกับคนต่างเพศประโยคหนึ่ง เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรกัน
อาจจะเป็นเพราะว่ามู่น่อนน่อนนิ่งเงียบนานเกินไป เฉินถิงเซียวถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่งกะทันหัน “กำลังคิดอะไรอยู่”
มู่น่อนน่อนกระพริบตา อำพรางอารมณ์ความรู้สึกในก้นบึ้งนัยน์ตา เอ่ยกับเขายิ้มๆว่า “กำลังคิดถึงมู่มู่”
เฉินถิงเซียวก็ยิ้มน้อยๆ “เธออยู่ที่บ้าน คิดถึงเธอก็กลับไปอยู่ที่นั่น”
“ได้เลย” มู่น่อนน่อนรับคำยิ้มๆ
………
พูดกับเฉินถิงเซียวว่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเขา แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้เตรียมของอะไรมา ก็ตรงกลับไปเลย
ถึงอย่างไรที่บ้านของเฉินถิงเซียวก็ยังมีของใช้ของเธอ
เฉินถิงเซียวไม่พอใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง “ทำไมถึงไม่ย้ายของพวกนั้นของคุณกลับไปให้หมด หรือว่าคุณยังคิดว่าจะย้ายกลับไปอีกในภายหลัง”
“ที่บ้านคุณก็ไม่ขาดของพวกนี้ ไม่ขนกลับไปก็ไม่เป็นไร”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว ไม่พูดไม่จา
เมื่อถึงคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนเพิ่งจะเข้าประตูคฤหาสน์ไป ก็ได้ยินเสียงของเฉินมู่ที่อยู่ด้านใน
เธอเดินเข้าไปในห้องโถง เฉินมู่ก็เห็นเธอทันที
เมื่อเฉินมู่เห็นเธอ ปฏิกิริยาแรกก็คือพุ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
แต่เธอวิ่งได้แค่ครึ่งทาง ก็หน้าม่อยคอตกหยุดวิ่งลง ก้มหน้าเล็กน้อย เบิกตากว้างมองมาที่มู่น่อนน่อน
ดูเหมือนจะโมโห แต่ก็เหมือนกับน้อยใจ
เด็กๆความจำดี มู่น่อนน่อนเดาได้ว่าเธออาจจะจำเรื่องที่เคยพูดว่าจะรับเฉินมู่กลับไปในตอนที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนหน้านี้”
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงตรงหน้าเฉินมู่ เอ่ยเรียกเธอ “มู่มู่”
เฉินมู่มองเธอครู่หนึ่ง แค่นเสียงออกมาแล้วหันหน้าไปอีกด้าน คล้ายกับว่าไม่อยากจะสนใจเธอ
“แม่ผิดไปแล้ว เดิมวันนั้นแม่จะกลับไปหาลูก แต่เพราะเรื่องบางอย่าง ทำให้แม่ต้องชะลอออกไป ไม่ได้กลับไปรับลูก เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง”
มู่น่อนน่อนสังเกตสีหน้าของเฉินมู่ เดินเข้าไปดึงมือเธอ
มือของเด็กนุ่มนิ่ม จับเอาไว้ในมือแล้วเหมือนกับไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
เฉินมู่เด็กเกินไป เรื่องของผู้ใหญ่ อธิบายกับเธอได้ไม่ชัดเจน
สุดท้ายแล้วเด็กก็สนิทสนมกับแม่มากที่สุด แม้ว่าเธอดูเหมือนจะโมโห แต่มู่น่อนน่อนใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนี้มาพูดกับเธอ เธอก็เบ้ปากทันที น้อยใจอย่างสุดซึ้ง
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา “เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง มู่มู่ไม่ร้องนะ”
“หนูรอนานมากๆเลย! แง้…..ฮือๆ….” เฉินมู่เอ่ยประโยคด้านหน้าออกมาแล้วก็ร้องไห้โฮ
เธอน้อยใจจริงๆ และชอบมู่น่อนน่อนมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนเห็นเธอร้องไห้ ก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองใกล้จะแตกสลายแล้ว
นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยมีขณะอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว
รู้แต่แรกจะไม่ไปงานเลี้ยงอะไรนั่นแล้ว
ถ้าหากไม่ไปงานเลี้ยงนั่น ก็จะไม่มีเรื่องพวกนี้
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ ตบแผ่นหลังเธอ เอ่ยเสียงเบาปลอบเธอ
เฉินถิงเซียวยืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปใกล้ และไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เช่นกัน
ดูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงนอกประตู เขาก็ลูบตามตัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่หาบุหรี่ไม่พบ
“คุณชายครับ” บอดี้การ์ดที่อยู่อีกด้านส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้เขาอย่างตาถึง
เฉินถิงเซียวรับบุหรี่มาคาบไว้ในปาก บอดี้การ์ดก็จุดไฟที่บุหรี่ให้เขาต่อ
บุหรี่มวนหนึ่งถูกสูบไปครึ่งหนึ่ง เขาก็ดับไฟแล้ว
บอดี้การ์ดเห็นเขาดับบุหรี่ตัวเองแล้ว ก็เขยิบมาด้านหน้า ถามเขาว่า “คุณชาย จะจุดบุหรี่ไหมครับ”
“ไม่ต้อง”
เฉินถิงเซียวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนปลอบเฉินมู่ให้หลับไปแล้ว
มือที่เต็มไปด้วยเนื้อนุ่มของเด็กหญิงกำเสื้อของมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น ตอนที่หลับอยู่ก็ยังสะอื้น มองดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่ารัก
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงฝีเท้าของเฉินถิงเซียวใกล้เขามา ก็เงยหน้าทำมือ “ชู่ว” ให้เฉินถิงเซียว และตบลงที่เฉินมู่เบาๆ เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิทแล้ว ก็อุ้มเธอขึ้นมา ไปส่งเธอที่ห้อง
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา คิดจะรับเธอไป แต่มู่น่อนน่อนเอียงตัวหลบ ส่ายศีรษะ พลางเอ่ยว่า “ฉันทำเอง”