ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 527 ซูเหมียน เรื่องเยอะ
เฉินมู่เบะปาก เอ่ยเสียงงึมงำว่า “ดุร้ายมาก”
เฉินถิงเซียวส่งสายตาไป เธอก็รีบหุบปากทันที และลงจากเตียงไปด้วยท่าทางที่ได้รับความไม่เป็นธรรม
เธอตัวเล็ก ทำได้เพียงแค่พาดตัวลงบนเตียงและค่อยๆไถลลงไปด้านล่าง มุมปากเบะลงเป็นเส้นโค้ง
เฉินมู่มองไปมองมาภายในห้องก็หาเสื้อผ้าตัวเองไม่เจอ
เธอกำลังจะพูด แต่ก็นึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินถิงเซียว เธอจึงตกใจจนปิดปากแน่น และไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่วิ่งเข้าไปดึงผ้าห่มข้างกายเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ
เฉินมู่เงยหน้ามองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบามากเป็นพิเศษ “หนูหาเสื้อไม่เจอ”
นี่คือห้องของเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าไม่มีทางมีเสื้อผ้าของเฉินมู่
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อนในอ้อมแขนตัวเองเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง จูงมือเฉินมู่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเธอ
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินมู่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คนรับใช้พาเธอลงไปกินข้าวเช้า
ก่อนลงไปชั้นล่าง เฉินมู่มองไปทางห้องนอนของเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางที่ไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณแม่ก็ต้องกินข้าวเช้า”
“หนูกินก่อน”
คำพูดเรียบง่ายธรรมดาของเฉินถิงเซียว ทำให้เฉินมู่ไม่กล้าเอ่ยอีก
หลังจากเห็นคนรับใช้พาเฉินมู่ลงไปที่ชั้นล่างแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้กลับไปที่ห้อง
มู่น่อนน่อนยังคงหลับลึกอยู่
เฉินถิงเซียวเดินไปมองเธอที่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปที่ชั้นล่าง
ตอนที่เขาลงไป คนรับใช้กำลังป้อนข้าวเช้าให้กับเฉินมู่
เฉินมู่สายตาดี เธอเห็นเฉินถิงเซียวลงมา ก็รีบแย่งช้อนในมือของคนรับใช้มากินเองทันที มองดูแล้วเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเห็นการกระทำของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สองพ่อลูกนั่งประจันหน้ากัน และกินข้าวเช้าของตัวเองไปโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
ตอนที่ใกล้จะกินเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ลงมา
เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแต่งเติม ตรงไปนั่งข้างเฉินมู่ จนทำให้สายตาของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันหน้าไปมองเฉินมู่ “ว้าว มู่มู่กินเยอะขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ?”
“อืม” เฉินมู่พยักหน้า และตักโจ๊กช้อนหนึ่งยื่นไปที่ริมฝีปากของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า เธอจับได้ไม่มั่นคง ระหว่างทางจึงหกลงบนโต๊ะอาหารเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยิ้ม จับมือเธอเอาไว้ และยื่นช้อนไปที่ริมฝีปากเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หนูกินเถอะ แม่ก็มีเหมือนกัน”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียง บนโต๊ะอาหารก็มีเสียง “เคร้ง” ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนเหลือบตาขึ้นมองไป ก็พบว่าเฉินถิงเซียววางช้อนในมือกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง
มู่น่อนน่อนใช้สายตาถามเขา กินข้าวเช้าดีๆไปสิ โมโหอะไร?
“ไม่มีอะไร” เฉินถิงเซียวก้มหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขาไม่เคยเห็นมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนี้ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนี้คุยกับเขาเหมือนกับตอนที่คุยกับเฉินมู่
เหอะ ผู้หญิงคนนี้!
…….
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวโมโหเรื่องอะไร กินอาหารเช้าเสร็จก็ไม่คุยกับเธอสักประโยค ตรงไปที่บริษัททันที
ประกอบกับที่ฉินสุ่ยซานโทรศัพท์มาคุยเรื่องบทละครพอดี มู่น่อนน่อนจึงกลับไปที่ห้องพักที่ตัวเองเช่าเอาไว้ นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปหาฉินสุ่ยซานที่สตูดิโอทำงานของเธอ
ตอนที่เธอไปถึง ฉินสุ่ยซานก็เพิ่งจะประชุมเสร็จ และกำลังรอเธออยู่
ฉินสุ่ยซานพาเธอไปที่ห้องประชุม และมีผู้ช่วยเขียนบทหลายคนรอเธออยู่ที่นั่นเช่นกัน
เมืองพัง ภาคแรก เป็นบทละครสำเร็จรูปภายใต้การสมมติ โดยมีมู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานเป็นผู้ดำเนินการให้สำเร็จสองคน
ปกติผู้เขียนบทล้วนมีผู้ช่วยของตัวเอง การผลิตละครเรื่องหนึ่ง นอกจากจะต้องมีผู้เขียนบทหลักแล้ว ยังต้องมีผู้ช่วยอีกหลายคน
ฉินสุ่ยซานถ่ายทำเมืองพังก็หาเงินได้ไม่น้อย ทั้งยังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง และจ้างคนไม่น้อย จึงไม่ต้องลำบากเหมือนกับแต่ก่อน
หลังจากประชุมเสร็จ คนอื่นๆล้วนแยกย้ายไปแล้ว ฉินสุ่ยซานถึงได้พามู่น่อนน่อนไปที่ห้องทำงานของเธอ
ฉินสุ่ยซานให้เธอนั่งบนโซฟา ต่อมาก็ถามว่า “ดื่มอะไร น้ำเปล่า กาแฟ น้ำผลไม้ หรือว่าเครื่องดื่มอื่นๆ”
มู่น่อนน่อนเอ่ย “น้ำเปล่าก็พอแล้ว”
ฉินสุ่ยซานให้เลขานำน้ำแก้วหนึ่งและกาแฟแก้วหนึ่งมาเสิร์ฟ
กาแฟเป็นของเธอ น้ำเปล่าเป็นของมู่น่อนน่อน
เธอนั่งตรงข้ามกับมู่น่อนน่อน เอียงตัวพิงเข้ากับพนักโซฟา พิจารณามองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยกแก้วน้ำขึ้นมา ปล่อยให้ฉินสุ่ยซานพิจารณามองเธอไป
ฉินสุ่ยซานพิจารณามองเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า “หน้าตาดูมีสง่าราศีมาก”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ไม่ค่อยได้ถือสาคำพูดของฉินสุ่ยซาน
จู่ๆ ฉินสุ่ยซานก็แย้มริมฝีปากยิ้ม พยักหน้าให้กับมู่น่อนน่อน พูดมาเถอะว่า “รายงานข่าวในไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เด็กผู้หญิงที่อยู่ในงานเลี้ยงวันนั้น คือลูกสาวของเธอกับเฉินถิงเซียวสินะ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะวางน้ำชา ต่อมาก็เอ่ยว่า “การคาดเดาของเธอหรือ”
“เป็นการคาดเดาของฉัน แต่ฉันเชื่อว่านี่เป็นความจริงเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ฉินสุ่ยซานก็ได้รับบัตรเชิญให้ไปงานเลี้ยง เดิมเธอคิดจะไปกับมู่น่อนน่อน ถึงอย่างไรมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวก็เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันในระดับหนึ่ง เธออยากรู้อยากเห็นในเรื่องของความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดังนั้นจึงอยากจะไปดูความครึกครื้น
แต่มู่น่อนน่อนไม่ไป เธอก็มีธุระพอดี จึงไม่ได้ไป
สุดท้ายเธอก็เสียใจอยู่นาน
มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่พูดกลับคำไปมา ในภายหลังจึงไป ทั้งยังทำให้เกิดข่าวใหญ่ขนาดนี้ด้วย
“ตั้งแต่ปีที่เธอตั้งครรภ์ในปีนั้น รวมไปถึงอายุของเด็กหญิงคนนั้น นั่นก็คือลูกสาวของเธอกับเฉินถิงเซียว แต่ว่า ตอนนั้นพวกเธอเก็บเป็นความลับได้ดีเกินไป เธอก็คลอดลูกที่ต่างประเทศ ดังนั้นสื่อมวลชนในประเทศจึงขุดค้นหาข้อมูลไม่พบ”
ฉินสุ่ยซานเอ่ยจบแล้ว ก็มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “สำหรับซูเหมียน? ตอนนั้นเธอกับเฉินถิงเซียวก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันนะ?”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ไม่พูดอะไร
“ตอนนี้เธอมาแสร้งเป็นใบ้อะไรกับฉัน สรุปว่าเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวมันยังไงกันแน่ เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของเธอใช่หรือไม่” ในใจฉินสุ่ยซานอยากรู้อยากเห็นจะตายอยู่แล้ว
“ในเวลาทำงานไม่คุยเรื่องส่วนตัว” มู่น่อนน่อนไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยเรื่องนี้กับฉินสุ่ยซาน
จนถึงตอนนี้ บนโลกใบนี้คนที่สามารถทำให้เธอพูดทุกอย่างออกมาได้โดยไร้ซึ่งความกังวล ก็น่าจะมีเพียงแค่เสิ่นเหลียงเท่านั้น
ฉินสุ่ยซานเห็นท่าทางดื้อดึงเช่นนี้ของมู่น่อนน่อนแล้วก็ไม่ฝืน “ก็ได้ เธอไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ แต่ฉันต้องเตือนเธอก่อนนะว่า ซูเหมียนไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน”
บิดาของฉินสุ่ยซานผู้อำนวยการสถานี ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นผู้บริหารที่ตำแหน่งไม่เล็กคนหนึ่ง
แต่บิดาของซูเหมียนมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ถ้าจะให้พูดล่ะก็ พวกเธอก็อยู่ในวงการเดียวกัน ฉินสุ่ยซานก็รู้จักเธอ
มู่น่อนน่อนถามเธอ “ยังไงหรือ”
ฉินสุ่ยซานคนกาแฟ คิดแล้วถึงได้เอ่ยออกมาว่า “จะพูดอย่างไรดีล่ะ ฐานะของซูเหมียนในวงการนี้ของพวกเรา ก็เหมือนกับฐานะสตรีผู้งดงามอันเพียบพร้อมในโลกธุรกิจของเฉินจิ่งหยุ้น”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว
และเป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นกับซูเหมียนล้วนถูกคนไล่ตามมาจนโต ดังนั้นจึงมีท่าทางเย่อหยิ่งมากเป็นพิเศษ ทั้งสองคนถึงได้เป็นเพื่อนกันได้
เพียงแต่ว่ามิตรภาพเช่นนี้ไม่ค่อยจะทนทานต่อการทดสอบเท่าใดนัก
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนฟังอย่างตั้งใจ ฉินสุ่ยซานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่ว่า ปกติซูเหมียนก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่คนที่ล่วงเกินเธอล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี”