ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 538 วางสายเธอ
เฉินมู่ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ได้เดินมาอย่างเชื่อฟังจริงๆ ไม่ได้กระโดดโลดเต้นออกมาอีก
พอเธอมาถึงห้องโถงใหญ่แล้ว ก็ได้ปล่อยมือออกไปจากสาวใช้ไปทันที แล้วกระโจนเข้าไปหามู่น่อนน่อนอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนย่อตัวนั่งลง รับเจ้าก้อนน้อยที่กระโจนเข้ามา แล้วจุ๊บลงบนใบหน้าของเธอไปทีนึง
ตอนนี้ทั้งหัวใจของเฉินมู่ล้วนมีแต่แอปเปิลที่ตนวาดทั้งนั้น ไม่มีเวลาไปสนใจจุ๊บด้วยความรักของมู่น่อนน่อนเลย
เธอเปิดภาพแอปเปิลหน้านั้นที่เธอวาดเหมือนกับกำลังโอ้อวดความสามารถที่ตัวเองนึกว่ามันดีมากอยู่ ให้มู่น่อนน่อนดู “คุณแม่รีบดูแอปเปิลที่หนูวาดสิ”
ขีดเส้นหลากหลายสีสัน ได้ปกคลุมอยู่เต็มกระดาษวาดภาพไปตามอารมณ์อย่างมาก จะมองดูยังไงก็มองรูปทรงแอปเปิลไม่ออกเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่มีความสุขมาก
เธอเปิดสมุดวาดภาพไปพลาง พูดพึมพำกับตัวเองไปพลาง “หนูยังวาดแอปเปิลอีกสามลูก แล้วยังวาดลูกชิ้นเนื้อด้วย…”
มู่น่อนน่อนพบว่าเฉินมู่เหมือนจะชอบวาดภาพมากเลย
เพียงแต่ว่าเธอในตอนนี้ยังเด็กเกินไป จึงวาดของอะไรออกมาไม่ได้เลย รู้เพียงแค่เลือกสีที่ชอบมาละเลงลงไปบนสมุดวาดภาพไปเท่านั้น
ในเมื่อเฉินมู่ชอบ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีทางทำลายความกระตือรือร้นของเธอไปเช่นกัน
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไปนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็รับสมุดวาดภาพไป มองไปอย่างตั้งอกตั้งใจไปสักพักหนึ่ง แล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยออกไปกับเฉินมู่ “วาดเก่งมาก แต่แม่เชื่อว่าหลังจากนี้ไปหนูจะวาดได้ดีกว่านี้อีก!”
เฉินมู่ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็ปิดปากยิ้มตาหยีออกมาอย่างมีความสุข เหมือนกับเขินอายมากออกมา
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจิ้มหน้าผากเธอไปเบาๆ “มู่มู่ของพวกเราเขินอายกับเขาด้วยเหรอ?”
“อิอิ…” เฉินมู่จับมือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ ยิ้มออกมาจนใบหน้าดูมีความสุขไปหมด
ตอนนี้เฉินถิงเซียวก็ได้เข้ามาจากข้างนอกด้วยเหมือนกัน
เด็กน้อยต่างก็ชอบที่จะได้รับความเห็นพ้องต้องกันและการชื่นชมจากคนใกล้ชิดกันทั้งนั้น เฉินมู่เองก็เช่นกัน
เธอเห็นเฉินถิงเซียว ก็ได้ดึงสมุดวาดภาพวิ่งเข้าไปหาเขา
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดี ก็ได้ลุกยืนขึ้นมาด้วยความกังวลอยู่บ้าง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป “มู่มู่!”
แต่เฉินมู่ไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เหยียบรองเท้าวิ่งเตาะแตะไปที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว แล้วยกสมุดวาดภาพของตัวเองขึ้นมา “คุณพ่อ คุณพ่อดูแอปเปิลที่หนูวาด แอปเปิลลูกโตๆสองลูก…”
คิ้วที่แต่เดิมได้ขมวดแน่นของเฉินถิงเซียว หลังจากที่เห็น “แอปเปิล” บนสมุดวาดภาพของเฉินมู่แล้ว คิ้วก็ได้ขมวดแน่นออกมายิ่งกว่าเดิม
ภายในใจของมู่น่อนน่อนแอบรู้สึกไม่ดีอยู่ลึกๆ จึงได้ส่งเสียงเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว!”
เธอกังวลว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆออกมา
ช่วงนี้เขาเหมือนจะไม่ได้ดีกับเฉินมู่เท่าแต่ก่อน ไม่ได้มีความอดทนเท่าแต่ก่อน เธอกังวลว่าต่อจากนี้เขาจะพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังจำพวกที่ว่า “วาดบ้าอะไรเนี่ย” ออกมาจริงๆเลย
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา มองเธอมาแวบนึง จากนั้นก็ได้ถอนสายตาออกไป แล้วเอาสายตาจรดไปที่บนสมุดวาดภาพของเฉินมู่
ผ่านไปสองวิ เขาก็ได้ส่งเสียงพูดออกมาคำนึง “อืม”
ไม่ได้รับคำชมเชยจากเฉินถิงเซียว เฉินมู่ถึงแม้ว่าจะหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเบ้ปากพูดออกมาประโยคนึง “เอาเถอะ”
เธอเก็บสมุดวาดภาพกลับมา แล้วก็ได้เงยหน้ามองเฉินถิงเซียวตาปริบๆไปอีกที เม้มปาก แล้วเดินเข้าไปทางมู่น่อนน่อน
พอเธอเดินไป เฉินถิงเซียวก็ได้ขึ้นชั้นบนไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลย
หลังจากที่เฉินมู่เดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือไปแตะหัวของเธอไปเบาๆ แล้วเอ่ยออกไป “คุณพ่อก็คิดว่าหนูวาดได้ไม่เลวเหมือนกันแหละ”
เฉินมู่ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว เงยใบหน้าที่เหมือนกับซาลาเปาน้อยขึ้นมา มองเธอไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวย
เมื่อกี้คุณพ่อได้ชมเธอหรือเปล่า?
“คุณพ่อก็แค่คิดว่าหนูวาดได้ไม่เลวเลย หนูจะต้องไม่ลดละความพยายาม! สู้ๆ!” มู่น่อนน่อนทำมือสู้ๆไปให้เธอ
เฉินมู่ได้ทำมือสู้ๆตามเธอออกมาด้วยเหมือนกัน จากนั้นก็หัวเราะ “คิกคัก” ขึ้นมา
เป็นเด็กน้อยมันดีจริงๆ ไม่เข้าใจอะไรเลย พูดกล่อมไปสองประโยคก็สามารถมีความสุขได้นานแล้ว
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองไปที่ชั้นบน นึกถึงคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาเมื่อกี้นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย
ผู้ชายตัวโตคนหนึ่งพูดกล่อมได้ยากกว่าเด็กน้อยเยอะเลย
แต่ครั้งนี้ เธอไม่อยากจะพูดกล่อมเขาเลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา จูงเฉินมู่เดินไปยังห้องครัว “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปทำลูกชิ้นเนื้อกัน!”
“ได้เลย! ทำลูกชิ้นเนื้อกันเลย!” เฉินมู่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นออกมา
อยู่ข้างนอกมาทั้งวัน ตอนเย็นสามารถกลับมาอยู่เป็นเพื่อนลูกได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเรื่องหนึ่งเลย
มู่น่อนน่อนวางแผนเอาไว้ว่าเนื้อแต่ละอย่างจะเอามาทำลูกชิ้นสักสองสามลูกก็พอ หลักๆแล้วคือทำให้เฉินมู่กิน เธอยังเด็ก กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เพียงไม่นานก็สามารถทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงยังไงเธอก็ได้ทำลูกชิ้นแล้ว ก็ทำมื้อเย็นไปด้วยเลยแล้วกัน
ก็คงจะเป็นเพราะว่ามีใจคิดอยากแก้แค้นครอบงำเอาไว้อยู่ มู่น่อนน่อนจึงทำอาหารมื้อเย็นที่จืดชืดมาก ไม่มีอาหารที่รสชาติถูกปากเฉินถิงเซียวอยู่เลยสักจาน
ตอนที่กินข้าว มู่น่อนน่อนตั้งใจจับตาดูสีหน้าของเฉินถิงเซียวเป็นพิเศษ
ตอนที่เขากินไปคำแรก คิ้วก็ได้ขมวดแน่นขึ้นมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองมู่น่อนน่อนแวบนึง เหมือนกับกินแล้วรู้เลยว่านี่เป็นอาหารที่มู่น่อนน่อนทำ
มู่น่อนน่อนเอียงหัวเล็กน้อย มองเขาไปอย่างท้าทาย
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรเลย ก้มหน้ากินไปเงียบๆ
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ เธอยังนึกอยู่เลยจริงๆว่าเฉินถิงเซียวนั้นจะไม่กินแม้แต่อาหารที่เธอทำแล้วน่ะ
ความจริงชี้ชัดออกมาว่าเฉินถิงเซียวไม่เพียงจะไม่ได้ไม่กิน แต่ยังกินเสียมากกว่าปกติเสียอีก
เพียงแต่ว่าพอเขากินข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นชั้นบนไปเลย กินเร็วกว่าเฉินมู่เสียอีก
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวออกไปแล้ว มองตาปริบๆแล้วชี้ไปที่เงาร่างเบื้องหลังของเขา แล้วพูดกับมู่น่อนน่อน “คุณพ่อไปแล้ว!”
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวที่มุมปากของเฉินมู่ออกไป ยิ้มพลางเอ่ยออกไป “เขากินอิ่มแล้วไง”
“อ้อ” เฉินมู่ก้มลงมองในชามตัวเองที่ยังเหลือผักอยู่ แล้วหันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อน “หนูกินอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่ผักในชามเธอ “หนูกินผักอีกสักสองชิ้นก็อิ่มแล้ว”
เฉินมู่แสดงใบหน้าไม่ยินยอมออกมา “หนูกินอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ยิ้มกับเธอไป สีหน้าเปลี่ยนมาจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “กินผักให้หมด”
“ก็ได้…” เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนไม่ยิ้ม จึงจำต้องกินผักไปให้หมดอย่างยอมๆไป
เธอกินผักเสร็จ มู่น่อนน่อนถึงจะปล่อยเธอไป
มู่น่อนน่อนพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ไปเล็กน้อย นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงหยิบโทรศัพท์ออกมา
ไม่มีข้อความวีแชทที่ยังไม่ได้อ่าน และก็ไม่มีข้อความและสายที่ไม่ได้รับที่โทรศัพท์ด้วยเช่นกัน
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้โทรหาเธอ
ว่ากันตามหลักแล้ว ถ้าลี่จิ่วเชียนรู้ว่าเธอได้ไปหาเขา ก็ควรจะติดต่อเธอมาถึงจะถูก
หรือว่าหลังจากที่เธอกลับไปแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้กลับไปที่คลินิกจิตเวชอีกเหมือนกันงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนคิดว่าความเป็นไปได้นี้มันเยอะมาก
เธอเข้าไปหาเบอร์ลี่จิ่วเชียนในสมุดรายชื่อ ลังเลอยู่แป๊บนึง แล้วก็ได้ต่อสายไปหาลี่จิ่วเชียน
โทรศัพท์มีเสียงดังขึ้นมาหลายครั้งติดๆกัน ไม่มีใครรับเลย จนกระทั่งสุดท้ายก็ถูกตัดสายไปเอง
มู่น่อนน่อนได้ต่อสายไปอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังขึ้นมาสองครั้งก็ได้ถูกวางสายไป
โทรศัพท์โทรติดมีเสียงดังขึ้นมาสองครั้งก็ถูกวางสายไป โดยทั่วไปแล้วคงจะเป็นคนวางสายไปเอง
ลี่จิ่วเชียนวางสายเธอ?
ในเวลานี้เขาจะมีธุระอะไรได้?
มู่น่อนน่อนต่อสายไปอีกครั้งนึง ครั้งนี้โทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้
“ขอโทษค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…”
ในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ลี่จิ่วเชียนเป็นคนระมัดระวังคนหนึ่ง ตอนที่เธออยู่กับเขาเมื่อตอนนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นโทรศัพท์ของเขาหมดแบตปิดเครื่องไปเลย
คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรอกมั้ง?